ปิดฉากไปเรียบร้อยแล้วสำหรับงาน “TDA Fashion Festival 2020” ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม “TDA Fashion Festival 2020” ภายใต้กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพนักออกแบบผลิตภัณฑ์สู่สากลในรูปแบบ Academy (THAI DESIGNER ACADEMY 2020) สร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักออกแบบคลื่นลูกใหม่ พร้อมผลักดัน 3 แบรนด์ไทยผู้ชนะการประกวด เข้าสู่ตลาดแฟชั่นระดับโลก

ณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, นายเจตนิพิฐ รอดภัยรองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และ นางวันเพ็ญ รัตนกังวาล ผู้อำนวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ รวมทั้งดีไซเนอร์ผู้คร่ำหวอดในวงการแฟชั่นทรงวุฒิ ทองทั่ว และศิลปิน ร่วมงานคับคั่ง พร้อมโชว์สุดพิเศษ Final Round ในรูปแบบมินิคอนเสิร์ต รวมทั้งแฟชั่นโชว์จาก ต้น- ธนษิต จตุรภุช และเหล่านางแบบ-นายแบบจาก The Face Thailand / The Face Men Thailand แคนดี้, บอส, เกรซ, เซีย, ทับทิม, มิ้น, ดารัญ, จี, ปริม, ข้าว, ฟ้า,
จุ๊กกรู้, หมูหยอง, เรียวตะ, วิลเลี่ยม, แจ๊ค, โน่, บิ๊กบอส

ผู้ชนะเลิศทั้ง 3 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์ TiYaDa โดย ธิญาดา ธงศรี, แบรนด์ Humming Three โดย ปวีณา
นามประเสริฐ และ ฉัตรียา ปาละกูล, แบรนด์ The Lavender โดย จุฑามาศ วาสนวัฒนา จะได้รับโอกาสเข้าร่วมงานแสดงสินค้าด้านแฟชั่นในระดับนานาชาติ เพื่อทดสอบตลาดต่างประเทศ ศึกษาแนวทางธุรกิจแฟชั่น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ และกลายเป็นหนึ่งพลังสำคัญในอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยต่อไปในอนาคต

ปวีณา นามประเสริฐ และ ฉัตรียา ปาละกูล เจ้าของแบรนด์ Humming Three ตัวแทนผู้ชนะเลิศ กล่าวว่า ส่วนตัวเป็นคนชอบทานขนมไทย จึงได้แรงบันดาลใจมาจากวิธีการห่อขนมไทย โดยการดึงจุดเด่น เช่น การกลัด การพับ การพัน มาใช้ในเสื้อผ้าของเรา โดยคงความเป็นแบรนด์ของเราอยู่ คือ “มินิมอล” แต่ต้องยอมรับว่าโจทย์ในปีนี้ต้องการนำอัตลักษณ์ความเป็นไทยมาใส่ในงาน ทำให้เราทั้ง 2 คน เครียดกันมากว่าจะนำความเป็นไทยผสานกับมินิมอลอย่างไรให้ลงตัว สุดท้ายเราจึงหันกลับมามองสิ่งใกล้ตัว คือ “ขนมไทย”ที่สามารถนำมาออกแบบดีไซน์กับงานแฟชั่นได้ จึงเป็นที่มาของคอนเซ็ปต์ “Wrap Thai” ที่แปลว่า “การห่อ”

“เราสมัครเข้าโครงการไม่ได้หวังว่าจะชนะหรือได้รางวัล เพราะเราต้องการจะเข้ามาหาความรู้ เราจึงเรียกการแข่งขันครั้งนี้ว่า “โปรเจกท์จบ” หลังประกาศว่าเราเข้ารอบ ทำให้เราดีใจที่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้สำเร็จ จึงอยากฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเข้าสู่แวดวงแฟชั่น อยากให้ทุกคนได้ลองทำในทุกรูปแบบ เพราะเรายังไม่รู้ว่าแท้จริงนั้นเราชอบออกแบบแฟชั่นสไตล์ไหน แต่ขอให้ลงมือทำก่อนและเราจะรู้เองว่าแฟชั่นแบบไหนที่ใช่สำหรับเรา แต่ขอเพียงอย่าทิ้งตัวตนของเราไป”

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือนที่ผ่านมา ดีไซเนอร์ทั้ง 50 แบรนด์ที่เข้าร่วมโครงการ ได้ทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโดยวิทยากรที่เป็นที่ยอมรับในวงการแฟชั่น ทั้งในด้านการดีไซน์, การตลาดทั้งแบบออนไลน์และ
ออฟไลน์, ศึกษาดูงานแหล่งเรียนรู้ ณ Tube Gallery, ร่วมเจรจาธุรกิจกับผู้ค้าในวงการแฟชั่น อาทิ เซ็นทรัล กรุ๊ป, กลุ่มบริษัท เมอร์คคอร์ป, บริษัท โชคดี ไทยเทรดดิ้ง จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการส่งออก-นำเข้าตลาดจีน, บริษัท Green Spot Thailand จำกัด ผู้ดูแลด้านการจัดซื้อและพัฒนาผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ พร้อมด้วยพันธมิตรที่เป็นผู้นำทางด้านการตลาดออนไลน์อย่าง Shopee ผู้นำแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไต้หวัน ซึ่งถือเป็นต้นแบบตัวอย่างของผู้นำเชิงสร้างสรรค์ เพื่อช่วยสนับสนุนและผลักดันดีไซเนอร์ไทย รวมไปถึงการสร้างคลื่นลูกใหม่ให้มีโอกาสพัฒนาและ ต่อยอดในเชิงธุรกิจ ด้วยฝีมือและทักษะของนักออกแบบไทยที่มีความโดดเด่น รวมไปถึงความคิดสร้างสรรค์ที่ทำให้ผลงานออกมาเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเชื่อมโยงเครือข่ายนักออกแบบ Networking และจัดทำคอลเลคชั่นต้นแบบ ภายใต้แนวคิด “Thainess Story for Ready to Wear” สร้างความแตกต่างให้สินค้าของตนเองเป็นที่น่าสนใจ โดยดึงอัตลักษณ์และจุดเด่นของแบรนด์ (Brand Identity) ออกมาให้ชัดเจน ผสมผสานกับเรื่องราวและวิถีของความเป็นไทย ทั้งงานฝีมือ ศิลปะ วิถีชีวิต และผลงานของชุมชน (Thainess Story) เพื่อถ่ายทอดออกมาให้มีความน่าสนใจ แปลกใหม่ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมทั้งสามารถสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน (Ready to Wear) และขายได้จริง