ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา วาฬนำร่องกว่า 470 ตัว เกยตื้นที่ชายฝั่งเกาะแทสมาเนีย ประเทศออสเตรเลีย กลายเป็นเหตุการณ์วาฬเกยตื้นครั้งใหญ่ของออสเตรเลียแม้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่ชัดเจนได้ แต่มีข้อสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากตัววาฬ หรือผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์
เจ้าหน้าที่กู้ภัยออสเตรเลีย แถลงว่า วาฬนำร่องครีบยาวที่ยังมีชีวิตอยู่หลายตัว ซึ่งพลัดหลงเข้ามาเกยตื้นชายหาดเกาะแทสมาเนียจะถูกการุณยฆาต หากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถช่วยชีวิตพวกมันให้กลับคืนสู่ทะเลได้ โดยขณะนี้ วาฬนำร่องประมาณ 380 ตัวที่เกยตื้นครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย ตายไปเรียบร้อยแล้ว ทางการรัฐแทสมาเนีย แถลงว่า จนถึงขณะนี้มีวาฬนำร่องเพียง 88 ตัวได้รับการช่วยเหลือ และยังมีความหวังที่จะช่วยได้อีก 20 ตัว แต่เจ้าหน้าที่กู้ภัยแถลงว่า หากวาฬนำร่องที่รอดชีวิตส่งสัญญาณว่าอ่อนแรงเกินกว่าจะช่วยเหลือได้ อาจต้องถูกการุณยฆาตหรือทำให้มันเสียชีวิตอย่างสงบโดยเจตนา ตามหลักมนุษยธรรมที่ควรกระทำ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นำมาซึ่งข้อสงสัยถึงสาเหตุและเกิดการตั้งคำถามว่าเหตุใดปรากฏการณ์เช่นนี้จึงมักเกิดซ้ำๆ ในสถานที่เดิมๆ โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นทางตะวันตกของเกาะแทสมาเนีย ที่อยู่ทางใต้ของออสเตรเลีย บริเวณที่เรียกว่าแม็คควารี เฮดส์ (MacquarieHeads) และวาฬส่วนใหญ่เกยตื้นอยู่บนสันดอนทราย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายที่ที่วาฬมักไปเกยตื้น เช่นทางตะวันตกของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์หรือในแถบอเมริกาใต้
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า วาฬนำร่องที่มาเกยตื้นกว่า 470 ตัวในครั้งนี้อาจมาจากฝูงเดียวกัน ซึ่งจริงๆ แล้วการเกยตื้นของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างโลมา หรือวาฬ หากเกิดขึ้นแบบ 1-2 ตัว ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะบางครั้งอาจเกิดจากการล่าเหยื่อใกล้ฝั่งมากเกินไป แต่เมื่อเกยตื้นเป็นฝูงใหญ่จึงมักมีสมมุติฐานอื่นมาเกี่ยวข้อง
สาเหตุหลักๆ หากมาจากตัววาฬเอง อาจเป็นเพราะวาฬนำร่องเป็นสัตว์สังคม มีความสัมพันธ์ในฝูงที่เหนียวแน่นมาก ดังนั้นหากมีวาฬตัวหนึ่งบาดเจ็บหรือไม่สบาย จนว่ายน้ำผิดทิศผิดทางและไปเกยตื้น สมาชิกของฝูงที่เหลือก็จะว่ายตามกันมาและถูกคลื่นซัดจนเกยตื้นในที่สุด หรือหากมีวาฬที่ป่วยจนว่ายหลงทางไปเกยตื้น แล้วส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ วาฬทั้งฝูงก็อาจจะว่ายตามเสียงนั้นมาจนเกยตื้นได้เช่นกัน
อีกปัจจัยหนึ่งคือ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของบริเวณที่เป็นแหลมคาบสมุทร หรือหาดที่ค่อยๆ ลาดชันลงไปในทะเล จะทำให้ระบบการใช้เสียงนำทาง หรือโซนาร์ ของวาฬทำงานได้ไม่ดีนัก เสมือนกับคนหลงทางจนทำให้พวกมันว่ายมาเกยตื้นพร้อมกันทั้งฝูง
อีกสาเหตุที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ซึ่งมาจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในสเปนเมื่อปี 2562 ที่พบว่าอุปกรณ์โซนาร์ที่มนุษย์ใช้สำรวจใต้ทะเลหรือใช้ทางการทหารซึ่งมีกลไกการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงนั้น อาจทำให้วาฬตกใจและพยายามหนีจนเกิดอาการน้ำหนีบได้
ปกติการดำน้ำลึกของวาฬจะต้องลดอัตราการเต้นของหัวใจลง เพื่อลดการใช้ออกซิเจนและทำให้ไนโตรเจนไม่สะสมในกระแสเลือด แต่เมื่อตกใจและพยายามหนีจากคลื่นโซนาร์ วาฬจะลนลานจนเสียศูนย์และทำให้ไนโตรเจนไปสะสมในเส้นเลือดจนกลายเป็นฟองอากาศเมื่อวาฬลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เหมือนอาการน้ำหนีบที่เกิดในนักประดาน้ำและทำให้วาฬเกยตื้นตายได้
นอกจากนี้ ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นไปได้คือ มลพิษในน้ำที่อาจเกิดจากสาหร่ายสีแดงขนาดเล็กที่เพิ่มจำนวนขึ้นตามธรรมชาติ หรือเหตุน้ำมันรั่วที่ส่งผลกระทบต่อวาฬ ซึ่งทั้งหมดนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดถึงสาเหตุที่ทำให้วาฬเกยตื้นเป็นฝูง
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า ไม่ควรด่วนสรุปว่าปรากฏการณ์นี้เป็นฝีมือมนุษย์ เพราะจริงๆ แล้ววาฬนำร่องอาจจะเกยตื้นมานานมากแล้วก็เป็นได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของ
ออสเตรเลีย ประกาศว่า จะปฏิบัติการช่วยเหลือวาฬที่เกยตื้นต่อไปเท่าที่ยังมีวาฬที่หายใจอยู่ แต่ในขณะเดียวกันต้องเฝ้าระวังไม่ให้วาฬที่ช่วยเหลือได้แล้วกลับมาเกยตื้นซ้ำอีก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี