มร.ฌอง-ฟรองซัวส์ คูแซง ถ่ายภาพร่วมกับคณะกรรมการ สมาคมสหพันธ์การโค้ชนานาชาติ สาขากรุงเทพฯ นำทีมโดย วิทวัส เกษมวุฒิ ประธานสมาคมฯ, ยอด ลีลาเวชบุตร รองประธานสมาคมฯ และ รมิดา รัสเซลล์ มณีเสถียรกก.บริหารบริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะกรรมการฝ่ายการตลาด สมาคมฯ
เพื่อให้ทุกองค์กรต่างๆเห็นความสำคัญของการ Coaching ในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ วิทวัส เกษมวุฒิ ประธานสมาคมสหพันธ์การโค้ชนานาชาติ สาขากรุงเทพฯ (ICF-Bangkok Chapter) และคณะกรรมการ สมาคมสหพันธ์การโค้ชนานาชาติ สาขากรุงเทพฯจัดงาน “Coaching DNA of Leaders” หรือ การสร้างภาวะผู้นำในยุคปกติใหม่ด้วยการโค้ช ขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 ณ โรงแรม เอส 31 ถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ เพื่อเสนอวาระให้ผู้นำระดับประเทศ ผู้บริหารองค์กรภาครัฐ และเอกชน ผู้นำในหน่วยงาน ผู้ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาบุคลากร ตลอดจนอาจารย์ผู้ปกครองเห็นคุณค่าของสมรรถนะการโค้ช CoachingDNA ให้กับผู้นำทุกระดับเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วม (Collaboration) การฟื้นตัว(Resilience) และการปรับตัวอย่างรวดเร็ว(Agile) พร้อมนำพาประเทศไทยขึ้นสู่ยอดบนของ S-Curve ใหม่
ภายในงานเปิดงานด้วยการบรรยาย โดย มร.ฌอง-ฟรองซัวส์ คูแซง Immediate Past Chair จาก ICF Professional Coach Global Board ซึ่งทำงานด้านการโค้ชมาอย่างยาวนานโดยเฉพาะผู้บริหารในกลุ่มบริษัท Fortune-500 มีประสบการณ์การโค้ชถึง 12,000 ชั่วโมง และยังเดินทางไปทั่วโลกเพื่อทำงานร่วมกับทีมผู้บริหารมาแล้วนับไม่ถ้วน มร.ฌอง-ฟรองซัวส์ อาศัยประสบการณ์จากการทำงานในระดับโลกอธิบาย “เทรนด์โลก” หรือแนวโน้มในภาพใหญ่ที่การโค้ชกำลังเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ซึ่งทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพตั้งแต่ระดับเยาวชน โดย มร.ฌอง-ฟรองซัวส์ เล่าในแง่มุมที่น่าสนใจหลายด้านเช่น การเปิดโอกาสให้เด็กได้ทดลอง เรียนรู้วิธีปีนต้นไม้ด้วยตนเองซึ่งเป็นไปได้ หากผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองคอยสนับสนุนอยู่ห่างๆ หรือวิธีการดึงศักยภาพของเยาวชนออกมา พร้อมยกตัวอย่าง
ดร.ชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์
ชีวิตวัยเยาว์ของนักร้องและนักแต่งเพลงผู้พิการทางสายตาชื่อดังอย่าง Ray Charles และชวนให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาเห็นว่าการที่แม่ของ Ray แข็งใจ ไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือในขณะที่ลูกชายตาบอดตัวเล็กๆ ร่ำไห้ขอความช่วยเหลือนั้นคือการฝึกให้เรียนรู้วิธีการอยู่รอดด้วยตนเอง เป็นก้าวสำคัญที่สามารถดึงศักยภาพของมนุษย์ออกมาได้ แม้อยู่ในเงื่อนไขที่จำกัดเพียงใดก็ตาม
ต่อจากนั้นเป็นการเสวนาประสบการณ์ผู้นำจากภาคการศึกษา และภาคเอกชนโดยวิทยากรรับเชิญจากองค์กรชั้นนำของเมืองไทยประกอบด้วย ดร.ชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส SustainableDevelopment บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด,ผศ.ดร.ลักคณา วรศิลป์ชัยรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, พิมลรัตน์รีพัฒนาวิจิตรกุล รองกรรมการผู้จัดการบริหารด้านทรัพยากรบุคคล บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน), ธรรมศักดิ์ จิตติมาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอฟเอ็นแฟคตอรี่ เอ๊าท์เลทจำกัด (มหาชน) โดยมีโค้ชเบคกี้-รมิดา รัสเซลล์ มณีเสถียร กรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะกรรมการฝ่ายการตลาด สมาคมสหพันธ์การโค้ชนานาชาติสาขากรุงเทพฯ เป็นผู้ดำเนินการเสวนาในครั้งนี้
หนึ่งในผู้เสวนา ดร.ชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส SustainableDevelopment บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า กระบวนการโค้ชจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันการศึกษาไทยไปในทางใดทางหนึ่งแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านการศึกษาใหม่บอกว่าครูต้องเปลี่ยนจากเดิม ครูต้องเป็นโค้ชด้วยครูคนหนึ่งจะสอนหลายวิชาเป็นไปไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนครูให้ทำหน้าที่อำนวยการให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วม ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุลที่ปรึกษาของกลุ่มเซ็นทรัลฯ บอกว่าการศึกษาด้วยวิธีเดิมๆ เป็นไปไม่ได้แล้ว ในกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ชาติเราเสนอกระทรวงศึกษาฯเรื่องการปรับบทบาทให้ครูเป็นโค้ช เราออกไปทำ training teacher to coach ให้แต่ละโรงเรียนแต่อุปสรรคที่สำคัญครูส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าโค้ชคืออะไร ดังนั้น เราต้องอบรมครูทุกคนในโรงเรียน โดยเฉพาะผู้อำนวยการให้มีความรู้เรื่องการโค้ชอย่างน้อยให้รู้ว่าการโค้ชคืออะไร ให้เข้าใจวัฒนธรรม รู้ถึงคุณค่าของมัน ครูต้องทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการแสดง โดยให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการคิด ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งนี้มันหยุดไม่ได้ เพราะนี่คืออนาคตของชาติ
พิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล
ส่วน พิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล รองกรรมการผู้จัดการบริหารด้านทรัพยากรบุคคล บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF กล่าวเสริมว่า CPF เป็นบริษัทที่มีทรัพยากรบุคคลเยอะมาก ทั่วโลก 120,000 คน เฉพาะในประเทศไทย 75,000 คน เวลาจะเปลี่ยนแปลงอะไร ทุกอย่างจึงต้องเป็นระบบ การนำเอาวิธีการ
coaching เข้ามาใช้จึงช่วยได้เยอะมาก คนที่อยู่กับองค์กรมานาน หรือผู้ใหญ่ที่เคยประสบความสำเร็จมา องค์ความรู้เดิมบางอย่างมันใช้ไม่ได้แล้ว ต้อง relearn จะต้องเปิดให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม จะต้องดึงพลังของคนสองกลุ่มนี้ จะทำอย่างไรให้เข้ากันได้กับเด็กรุ่นใหม่ กระบวนการของการโค้ชสำคัญมาก เรามีระบบของการเปลี่ยนแปลงที่ ให้โอกาสเด็กจบใหม่เข้ามาเป็น“เถ้าแก่” ให้ทำธุรกิจจริง มีเงินทุน รับผิดชอบP&L จริง ให้จับกลุ่มทำงาน ให้อิสระในการตัดสินใจมีระบบการติดตามผล และมี sponsor คอยประกบเราใช้กระบวนการโค้ชที่สร้างขึ้นมา ให้ sponsorชี้แนะแต่ห้ามชี้นำ ห้ามสั่ง เพราะหากให้คนรุ่นเก่าคอยบอกจะได้กระบวนคิด (paradigm) แบบเดิม
ปรากฏว่า มี business หนึ่งรายได้เติบโตขึ้นถึง 2.6 เท่า แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการส่งต่อความสำเร็จที่เป็นระบบนั่นเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี