ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เจ้าฟ้าพระองค์แรกของพระราชวงศ์ไทย ที่ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกด้านศิลปะ ปริญญาแห่งความสุขที่ทรงเลือกศึกษาด้วยพระองค์เอง ทรงเข้ารับพระราชทานปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ประจำปีการศึกษา 2562 วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563 ณ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
“ลูกมีหน้าที่จะต้องเรียนหนังสือให้มีความรู้เพื่อจะได้ออกมาทำงานเพื่อประเทศชาติต่อไป”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่ทรงสอน ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์นับแต่นั้นมา ทรงยึดถือพระราชดำรัสนี้ มาเป็นแรงบันดาลพระทัยและพลังขับเคลื่อนในการทรงงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนตราบจนถึงทุกวันนี้ โดยทรงตัดสินพระทัยเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ ตามพระราชประสงค์ของพระราชมารดา แม้จะโปรดด้านศิลปะก็ตาม ภายหลังทรงสำเร็จการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ถึง 4 ปริญญาบัตรแล้ว ศ.ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงมีพระปณิธานมุ่งมั่นในการศึกษาค้นคว้าองค์ความรู้ด้านวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาด้านการสาธารณสุข และยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อนำมาปรับใช้ในการพัฒนาประเทศ และบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ประชาชนให้สามารถอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอย่างมีความสุข อาทิ ทรงก่อตั้ง มูลนิธิจุฬาภรณ์ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ สถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ และราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เพื่อศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม การแพทย์และการสาธารณสุข โดยนำองค์ความรู้ต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งและผู้ป่วยทั่วไป รวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศอีกด้วย
หลายทศวรรษของการทรงงานด้านวิจัยวิทยาศาสตร์ เพื่อประเทศชาติ และประชาชนอันเป็นที่รักของพระองค์ ยามเมื่อทรงว่างเว้นจากพระกรณียกิจนานัปการ ทรงกลับมาทบทวนถึงการดำเนินชีวิตที่ผ่านมา และค้นพบว่า ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ทรงรักและมีความสุขทุกครั้งเมื่อคิดถึงหรือมีโอกาสได้ทำ คือ “การทำงานศิลปะ” ซึ่งเปรียบเสมือนการบำบัดจิตใจ (Art Therapy) ให้มีความสุขและผ่อนคลาย หลังจากเสร็จสิ้นจากพระภารกิจที่เกี่ยวพันกับชีวิตและความทุกข์ของ
ผู้อื่นตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา
จุดเริ่มต้นของความรักและความสุขจากการที่ได้ทรงงานศิลปะ เริ่มขึ้นจากการที่ทรงวาดภาพธรรมชาติ และดอกไม้นานาพันธุ์ที่อยู่รายรอบ เช่น ภาพดอกบัว ดอกกุหลาบ และผีเสื้อ จากนั้น ทรงส่งต่อความสุข โดยการนำลวดลายต่างๆ ที่ได้จากภาพวาด ไปผลิตเป็นผ้าพันคอ และเสื้อคอโปโล ฯลฯ เพื่อหารายได้ช่วยเหลือแก่ผู้ยากไร้ด้อยโอกาส จากนั้น ด้วยพระปรีชาสามารถในด้านศิลปะ ทรงได้รับเชิญจาก บริษัท แอสปรี ลอนดอน สหราชอาณาจักรให้ร่วมออกแบบเครื่องประดับอัญมณี และเครื่องแต่งกาย โดยมีแนวคิดการสร้างสรรค์ผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะพระองค์ บูรณาการศาสตร์หลายแขนงเข้าไปในชิ้นงาน โดยใช้ลวดลายสูตรเคมีคณิตศาสตร์ สัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งทรงมีจากกิจกรรมวาดภาพที่ทรงโปรดและทรงมีพระสมาธิในการวาดภาพติดต่อกันหลายชั่วโมง เป็นเหตุให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ทรงสังเกตเห็น และได้กราบบังคมทูลว่า “น่าจะได้ทรงเรียนเขียนลายไทยด้วย”
เพื่อนำลายไทยและความเป็นไทยแต่งแต้มจัดวางไว้ในภาพวาดฝีพระหัตถ์ และเครื่องประดับที่ทรงออกแบบ จากนั้น ศ.ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารีจึงทรงเริ่มเรียนการวาดลายเส้นจิตรกรรมไทย โดยคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากรได้ขอพระราชทานพระอนุญาตให้ นายปัญญา วิจินธนสาร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) เป็นพระอาจารย์ถวายการสอน และจากการทรงเรียนวาดลายเส้นจิตรกรรมไทยในครั้งนั้น ได้เป็นแรงบันดาลพระทัยให้ทรงอยากจะศึกษาการวาดภาพอย่างจริงจัง จึงทรงมีพระประสงค์ที่จะทรงศึกษาตามระบบของมหาวิทยาลัยศิลปากรในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ เช่นเดียวกับนักศึกษาทั่วไป ทรงสมัครเรียนแบบออนไลน์ และกรอกเอกสารการสมัครเรียนพร้อมกับแนบ Portfolio ผลงานภาพวาดฝีพระหัตถ์รูปเสือ เสนอคณะกรรมการหลักสูตรฯ พิจารณาเช่นเดียวกับนักศึกษาทั่วไป ทรงมีพระนามปรากฏอยู่ในทะเบียนรายชื่อนักศึกษา ปีการศึกษา 1/2560 เลขที่1 รหัสประจำตัว 60007806 ร่วมกับพระสหายร่วมรุ่น 5 คน ในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์
ตลอดระยะเวลา 3 ปี ระหว่างทรงศึกษา ทรงปฏิบัติพระองค์เฉกเช่นนักศึกษาปกติทั่วไป พระวิริยะอุตสาหะ ผนวกกับความมุ่งมั่นต่อการเรียน ทรงไม่ย่อท้อ แม้จะมีพระภารกิจมากมายนานัปการ รวมไปถึงอุปสรรคต่างๆ และ
พระสุขภาพของพระองค์เอง ก็ยังทรงเขียนรูปตลอดเวลา ระหว่างการเรียนการสอนทั้งที่คณะจิตรกรรมฯ และพระตำหนักฯ ทรงนำผลงานจำนวนมากมาให้คณาจารย์ผู้ถวายการสอนได้แนะนำและวิจารณ์ทุกครั้ง และด้วยความตั้งพระทัยกอปรกับพระวิริยะอุตสาหะนี้เอง จึงเป็นสิ่งที่คณาจารย์ผู้ถวายการสอนมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
ด้วยพระประสงค์ที่จะทรงศึกษาตามหลักสูตรสาขาวิชาทัศนศิลป์ฯ ซึ่งหลักสูตรนี้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็น “ศิลปินมืออาชีพ” โดยผู้เรียนต้องพัฒนาทักษะจากการลงมือปฏิบัติ ซึ่งพระองค์จะต้องทรงนำเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์ด้วยพระองค์เอง และด้วยกฎของการทำวิทยานิพนธ์ด้วย การจัดนิทรรศการเพื่อเผยแพร่แก่สาธารณชน 2 ครั้ง ซึ่งทรงดำเนินการทุกอย่างตามกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย โดยทรงนำเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์ครั้งแรกในชุด “หลากลาย หลายชีวิต” (Various Pattern; Diversity of Life) เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2561 ณ หอศิลป์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และในครั้งที่ 2 โปรดให้จัด
นิทรรศการวิทยานิพนธ์ เพื่อการสอบจบภาคการศึกษา ณ หอศิลป์พิมานทิพย์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 โดยการสอบป้องกันดุษฎีนิพนธ์ครั้งสุดท้ายเพื่อจบการศึกษานี้ เป็นการสอบปากเปล่าประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งมีคณะกรรมการสอบ ได้แก่ ประธานหลักสูตร อาจารย์ที่ปรึกษา กรรมการประจำหลักสูตรเป็นผู้สอบ หลังจากเสร็จสิ้น คณะกรรมการสอบได้ลงมติให้การสอบครั้งนี้ “ผ่าน” เป็นเอกฉันท์ ในคะแนนระดับ “ดีมาก”
สำหรับนิทรรศการวิทยานิพนธ์ ภาพวาดฝีพระหัตถ์ชุด “หลากลาย หลายชีวิต” (Various Patterns; Diversity of Life) ใน สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒนวรขัตติยราชนารี เป็นผลงานภาพวาดที่สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางอัตลักษณ์ หลากหลายทฤษฎี หลากหลายกลวิธีของมนุษย์ที่สามารถอยู่รวมด้วยกันได้ ทรงใช้สัญลักษณ์สื่อความหมายการแสดงออกจากสิ่งที่ทรงมีความประทับใจ นั่นคือ “เจ้าป่า” อันสื่อความหมายถึง“พระราชบิดา” พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยแสดงแนวความคิดเกี่ยวกับเสือเจ้าป่า ผู้เปรียบเสมือนราชา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ผ่านการสร้างสรรค์ที่ทรงถ่ายทอดผ่านปลายปากกาเป็นรูปลักษณ์ของเสือท่ามกลางบริบทแวดล้อมที่แตกต่างกันตามเรื่องราวและเนื้อหาในแต่ละภาพ เป็นเสือที่ใจดี มีเมตตา เพียรสอนสั่งและกระทำสิ่งดีงามต่อผู้อื่น เป็นเสือที่มีแต่ความรักและความปรารถนาดีต่อทุกคน
นอกจากนั้น ผลงานภาพวาดฝีพระหัตถ์นี้ ยังใช้เทคนิควิธีการสร้างสรรค์งานด้วยสีวิทยาศาสตร์สำเร็จรูปเป็นสีเมจิกหลายสีชนิดหัวแหลม เป็นสีน้ำที่ไม่มีพิษไม่มีกลิ่น และไม่ทำลายสภาพแวดล้อม นั่นคือ สีโคปิค(Copic) นับเป็นพระองค์แรก และครั้งแรกในการศึกษาระดับปริญญาเอกที่ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานจาก “สีโคปิค”
ส่วนรูปแบบการแสดงออกทางศิลปะในผลงานชุดนี้ ทรงบูรณาการศาสตร์แขนงต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการแพทย์ และการแพทย์ ฯลฯ โดยทรงนำลวดลายสัญลักษณ์สูตร เคมี รูปทรงโมเลกุล การประกอบของตัวพันธะเคมีในโมเลกุลตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น ตัวเลข รูปหัวใจ ดอกไม้ และทิวทัศน์ธรรมชาติเข้ามาอยู่ในผลงาน รวมถึง “นกฮูก” และ “สัตว์ปีกต่าง ๆ” ร่วมถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ผ่านรูปทรง ความหมาย เรื่องราว และความเป็นตัวตนของสรรพสิ่งในบริบทรอบข้าง ทรงส่งต่อความฝันและความรู้สึกนั้น ๆ ไปยังประชาชนชาวไทย รวมไปถึงผู้คนบนโลกนี้ด้วย ซึ่งเรียกงานศิลปะลักษณะนี้ว่า “ศิลปะนาอีฟ” (Naïve Art) หรือศิลปะที่ซื่อตรงและบริสุทธิ์ดังพระดำรัสเกี่ยวกับงานศิลปะตอนหนึ่งว่า... “งานศิลปะทำให้ข้าพเจ้ามีความสุข ข้าพเจ้าจึงอยากแบ่งปันความสุขให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย”
จากความสุขพระทัยในการสร้างสรรค์งานศิลปะงานที่ทรงรัก ขณะเดียวกันกับที่อีกห้วงความรู้สึกหนึ่งคือความปรารถนาที่จะให้ประชาชนชาวไทยของพระองค์มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถเข้าถึงการแพทย์ และการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน จึงทรงมีแนวพระดำริที่จะนำงานศิลปะที่ทรงรักมาต่อยอดเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ประชาชน
“วิทยาศาสตร์เป็นส่วนประคับประคองประเทศในระหว่างที่ประเทศเดือดร้อน ศิลปะก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผสมผสานกันสองสาขา เพื่อนำมาสู่การช่วยเหลือราษฎรในยามที่ประชาชนลำบาก” โดยโปรดให้จัดทำภาพพิมพ์จากภาพวาดฝีพระหัตถ์ออกจำหน่าย พร้อมทั้งนำลวดลายจากภาพมาต่อยอดจัดทำเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด เพื่อหารายได้นำไปช่วยเหลือประชาชนผู้ยากจนและผู้ด้อยโอกาส รวมถึงประชาชนที่ทุกข์ยากจากความเจ็บป่วย และประสบภัยพิบัติต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ผ่านการดำเนินงานจากมูลนิธิในพระดำริได้แก่ มูลนิธิจุฬาภรณ์ มูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ และมูลนิธิทิพย์พิมานเพื่อสัตว์ป่วยและสัตว์ไร้ที่พึ่ง ในพระอุปถัมภ์ฯ
เนื่องในโอกาสอันเป็นศุภมงคลที่ทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และจะทรงเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม นั้น ศ. ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒนวรขัตติยราชนารี ทรงเป็นตัวอย่างการใช้เวลาที่ดีที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนชาวไทย และทรงเป็นแบบอย่างให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ในเรื่องของการจัดสรรเวลา ทรงจัดสรรเวลาทำในสิ่งที่ทรงรักและมีความสุขได้ลงตัว เช่น การวาดภาพที่โปรด และการสานต่อ ความฝันของพระองค์ด้วยการศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกทางด้านศิลปะ ทรงทำพระองค์ให้เป็นแบบอย่างแล้วว่า “การศึกษาเรียนรู้ สามารถทำได้ตลอดชีวิต” ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์และเจ้าฟ้าผู้ทรงสร้างสรรค์งานศิลปะของปวงชนชาวไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี