หลายประเทศทยอยฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ให้ประชาชนแล้ว ทั้งอังกฤษ สหรัฐฯ และประเทศในสหภาพยุโรป ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดเป็นกลุ่มประเทศร่ำรวย และมีความพร้อมสำหรับการเข้าถึงวัคซีนเป็นกลุ่มประเทศแรกๆของโลก โดยเฉพาะจาก 3 บริษัทหลักที่มีความคืบหน้ามากที่สุด
โมเดอร์นา จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด อังกฤษ ราคา 50 ดอลลาร์สหรัฐ มีประสิทธิภาพต้านทานโควิดได้ 94% และต้องจัดเก็บภายใต้อุณหภูมิ 2-7 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิมาตรฐานสำหรับตู้เย็นที่ใช้ในครัวเรือน เก็บรักษาได้ 30 วัน และหากต้องการเก็บรักษาเพิ่มขึ้นเป็น 6 เดือน จำเป็นจะต้องเก็บไว้ที่อุณหภูมิ ติดลบ 20 องศาเซลเซียส
ไฟเซอร์ อิงค์ บริษัทยาสัญชาติอเมริกัน และ ไบโอเอ็นเทค สัญชาติเยอรมันร่วมกันพัฒนาวัคซีนต้านโควิดที่มีความก้าวหน้า สนนราคาอยู่ที่ ราคา 18 ดอลลาร์สหรัฐ มีประสิทธิภาพต้านทานโควิดได้ 90% แต่ต้องจัดเก็บในอุณหภูมิ ติดลบ 70 องศาเซลเซียสและหากจัดเก็บไว้ในอุณหภูมิปกติ จะอยู่ได้5 วันเท่านั้น
แอสตราเซเนกา สัญชาติอังกฤษ-สวีเดน ผลิตวัคซีนต้านโควิด ราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ มีประสิทธิภาพต้านโควิด-19 ได้ค่าเฉลี่ย 70% แต่มีกลุ่มตัวอย่างซึ่งประสบความสำเร็จ 90% ซึ่งนักวิจัยประเมินว่า หากมีการเพิ่มตัวยา อาจทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึงระดับ 90% ได้ ซึ่งกระบวนการในการจัดเก็บ 2-8 องศาเซลเซียส ได้นานถึง 6 เดือน แม้ผลสำเร็จในการต้านทานโควิด-19 จะน้อยที่สุดสำหรับ แอสตราเซเนกายังมีจุดเด่นด้านการเก็บรักษา และขนส่ง ซึ่งทำให้ราคาสุทธิของแอสตราเซเนกา ถูกที่สุด
เมื่อคำนวณราคาจาก 3 บริษัทนี้ค่าเฉลี่ยวัคซีนต้านโควิด-19 จะอยู่ที่24 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าจะให้ครอบคลุมประชากรโลก 7,300 ล้านคน ได้ในปี 2564 เท่ากับต้องใช้เงิน 350,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี หรือคิดเป็นเงินไทย ราว 10.5 ล้านล้านบาท นี่คือเม็ดเงินที่พร้อมจะไหลเข้าไปยังบริษัทที่มีการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 สำเร็จ ไม่เพียง 3 บริษัท ที่กล่าวมาข้างต้น แต่ทุกบริษัท จากทุกประเทศที่พัฒนาวัคซีนโควิด-19 สำเร็จ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่ร่ำรวย ต่างมีความพร้อมจ่ายเงินทันที
มหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกอย่างสหรัฐฯ ที่มีประชากร 328 ล้านคนขณะนี้มีการจองวัคซีนไปแล้วกว่า 1,010 ล้านโดส คิดคร่าวๆ ครบ 100%ของประชากรทั้งหมดในสหรัฐฯ จะต้องใช้662 ล้านโดส ที่เหลืออีก เกือบ 400 ล้านโดส เป็นวัตถุประสงค์อื่นๆ เช่นการฉีดให้นักลงทุน นักท่องเที่ยว ต่างๆ ที่เดินทางเข้าประเทศ ตามมาด้วยอังกฤษ จนถึงขณะนี้ ได้จัดซื้อวัคซีนเป็นจำนวน 357 ล้านโดส จากบริษัทผู้พัฒนาวัคซีน7 แห่ง ครอบคลุมประชากรทั้งหมด 68 ล้านคน ของอังกฤษ ซึ่งวัคซีน ประกอบไปด้วย วัคซีนจากไฟเซอร์ และไบโอเอ็นเทค40 ล้านโดส และ โมเดนา 7 ล้านโดสและแน่นอนว่า อังกฤษจะได้สิทธิ์วัคซีนจาก แอสตราเซเนกา ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดของตนเองด้านญี่ปุ่น สั่ง 290 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรทั้งหมด 126 ล้านคน และยังมีเหลือสำหรับบริหารจัดการได้อีก
ขณะที่กลุ่มสหภาพยุโรป มีการสั่งซื้อวัคซีนเช่นกัน 300 ล้านโดสแบ่งเป็นวัคซีน บริษัทไฟเซอร์และบริษัทไบโอเอ็นเทค 200 ล้านโดส และวัคซีนอื่นๆ 100 ล้านโดส แน่นอนยังไม่ครอบคลุมประชากรทั้งหมด
อีกกลุ่มหนึ่ง จะเป็นกลุ่มประเทศที่สั่งจองวัคซีนต้านโควิด-19 แต่ไม่เพียงพอสำหรับประชากรในประเทศของตนเอง โดยประเทศที่มีการสั่งมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ คือ ประเทศอินเดีย มีการสั่งจองทั้งสิ้น 500 ล้านโดส ครอบคลุมประชาชน 250 ล้านคน แต่ประชากรในอินเดียมีมากถึง 1,386 ล้านคน แน่นอนว่า ครอบคลุมประชากรไม่ถึง 25% ของประชากรทั้งหมดของอินเดีย ขณะที่บราซิล สั่ง 100 ล้านโดส ไม่ถึง 25%ของประชากรทั้งหมดเช่นกัน อินโดนีเซียสั่งไป 100 ล้านโดสเช่นกัน ฉีดให้ประชากรได้ 50 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 274 ล้านคน ส่วนรัฐบาลไทย เองสั่งจองซื้อวัคซีนบริษัท แอสตราเซเนกางบประมาณ 6 พันล้านบาท ได้วัคซีนจำนวน 26 ล้านโดส ครอบคลุมประชากร13 ล้านคน คาดว่าจะได้ใช้ในช่วงกลางปี 2564
นี่เป็นภาพรวมของการเข้าถึงวัคซีนต้านโควิด-19 ของประเทศต่างๆส่วนประเทศที่มีรายได้น้อย หลายประเทศยังเข้าไม่ถึงวัคซีน ยังต้องติดตามต่อไปว่าทั่วโลกจะดำเนินการอย่างไร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี