ตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้ง บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ยูนิตี้ จำกัด “หมอต้อย-แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์”ตั้งปณิธานไว้อย่างแน่วแน่ว่า วันใดที่บริษัทเติบโตมีผลกำไรและมีความมั่นคง “กิฟฟารีน” จะตอบแทนกลับสู่สังคมอย่างเต็มพิกัด
นอกเหนือจากการก่อตั้ง “กองทุนมงคลปิยะสุพรรณกัลยา”มอบทุนการศึกษาแบบให้เปล่าแก่เด็กหญิงกำพร้า ให้ได้เล่าเรียนสูงสุดตามความสามารถ จนถึงปัจจุบัน รวมเป็นเงินกว่า35.5 ล้านบาทแล้ว แพทย์หญิงนลินี ยังให้การสนับสนุนโครงการ “พ่อ-แม่ อุปถัมภ์” ช่วยเหลือเด็กผู้ประสบภัยธรณีพิบัติสึนามิ จัดโดย สภาสตรีแห่งชาติ ในพระราชินูปถัมภ์ร่วมรณรงค์ให้ผู้ใหญ่ที่มีรายได้บริจาครายได้ 1 ชั่วโมง ใน 1 ปีเข้ากองทุนเพื่อพัฒนาเด็ก โดย สภาองค์การพัฒนาเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์ฯ ตลอดจนสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ของหน่วยงานต่างๆ แล้ว ผู้บริหารหญิงแห่งกิฟฟารีน ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของ “การอนุรักษ์พันธุ์ช้างไทย”ซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน โดยปัจจุบันจำนวนช้างลดลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน ก็มีต้นทุนการเลี้ยงดูค่อนข้างสูง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่ออนุรักษ์พันธุ์ช้างไทยโดย กิฟฟารีน ได้มอบทุนค่าอาหารช้างให้แก่ “สถาบันคชบาลแห่งชาติ จังหวัดลำปาง” มาอย่างต่อเนื่อง เป็นจำนวน 80,000 บาทต่อเดือน จนถึงปัจจุบันได้มอบเงินไปแล้วทั้งสิ้น 24 ปี 24 ล้านบาท
แพทย์หญิงนลินี กล่าวว่า กิฟฟารีน เป็นบริษัทสัญชาติไทยและเป็นธุรกิจขายตรงที่เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก มีคนไทยหลายแสนคนที่เข้ามาร่วมเป็นนักธุรกิจ และรวมถึงพนักงานอีกหลายพันคน การดูแลคนและสร้างทัศนคติที่ดีในการใช้ชีวิตจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยธรรมชาติคนไทยเป็นคนโอบอ้อมอารีอยู่แล้วเกิดอะไรขึ้นในสังคมก็จะช่วยกัน และอยากจะตอบแทนสังคมกันอยู่แล้ว เมื่อเรามีกำลัง มีรายได้ที่ดี ต้องมีหัวใจที่รู้จักให้ด้วย เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญและอยากปลูกฝังให้คนของกิฟฟารีนเป็นแบบนั้น ฉะนั้นส่วนหนึ่งที่ช่วยเด็กกำพร้าเรียนหนังสือ หรือมาช่วยศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย คิดว่าในมุมกลับเป็นการสอนให้นักธุรกิจกิฟฟารีนรู้ว่า เมื่อเรามีรายได้ที่ดี มีความแข็งแรงแล้ว เราควรตอบแทนคืนกลับสู่สังคม และคืนกลับสู่ผู้ด้อยโอกาสด้วย
“ตอนนั้นเพิ่งเปิดบริษัท กิฟฟารีน ได้ไม่ถึงปี มีโอกาสได้พาลูกมาเที่ยวเชียงใหม่และลำปาง ได้ดูการแสดงช้าง น่ารักๆ เยอะแยะเลย ตอนนั้นมีช้างอยู่ 38 เชือก พอดีได้มีโอกาสเจอกับเจ้าหน้าที่ดูแลสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในช่วงนั้น ชื่อ คุณสวัสดิ์ ประโยคที่มันรู้สึกในใจคือ ทำไมช้างผอมจัง เลยถามคุณสวัสดิ์ว่าช้างเล่นเก่งแสดงเก่ง ทำไมช้างถึงผอม คุณสวัสดิ์บอกว่างบประมาณเรามีจำกัด แล้วช้างแต่ละเชือกกินเยอะมากเลยนะครับคุณหมอ เราก็อาจจะมีเงินไม่ค่อยพอ ต้องไปซื้อหญ้าซื้ออ้อยจากชาวบ้านมาแบ่งๆ กัน เลยถามเขาว่าแล้วงบประมาณเท่าไหร่ถึงคิดว่าจะพอ คุณสวัสดิ์บอกว่า ถ้าได้ประมาณเดือนละ 80,000 บาทคิดว่าช้างคงจะอิ่มได้ ตอนนั้นเปิดกิฟฟารีนไม่ถึงปี แต่เรามีผลกำไรตั้งแต่เดือนแรกๆ เลยมีความรู้สึกว่าอยากจะช่วย ไม่ได้คิดถึง CSR ยังไม่รู้ด้วยว่า CSR คืออะไร แบรนด์ก็เพิ่งสร้างนะคะ แต่มีความรู้สึกว่าสงสารช้าง แล้วอยากช่วยช้าง ดังนั้นมันมาจากความรู้สึกส่วนตัว และมาจากใจจริงๆ” พญ.นลินี บอกเล่าถึงแรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลังการช่วยช้างมาตลอด 24 ปี
หนึ่งในช้างที่มีโอกาสรับความช่วยเหลือ จนเป็นที่โด่งดังก็คือ “น้องรุ่งเรือง” และ “น้องก้านกล้วย” ซึ่ง พญ.นลินีเล่าย้อนความทรงจำว่า “น้องรุ่งเรืองไปขอทาน แล้วไปเจอร้านผักบุ้งไฟแดง ไฟลุกขึ้นมา รุ่งเรืองกลัวมาก เลย ตกใจตื่น ก็วิ่งผ่านรถไป วิ่งปุเล็งๆ หายลับตาไป มาได้ข่าวตอนเช้าจากไทยรัฐว่าเขาไปอยู่ที่อุรุพงษ์ แล้วคุณหมอสัตวแพทย์ต้องฉีดยาสลบให้เขาสลบ ก็เลยได้รู้ว่าเจ้าของอยู่สุรินทร์ และเอาช้างมาขอทาน เพราะไม่มีสตางค์ เขาประกาศในไทยรัฐว่าใครอยากซื้อก็มาซื้อ เพราะเขาเลี้ยงไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่ให้เขาเอามาในกรุงเทพฯ เขาก็เลี้ยงไม่ได้ เลยกลายเป็นที่มาที่เราเดินทางไปถึงสุรินทร์ ไปขอซื้อเขามา 180,000 บาท
ส่วนน้องก้านกล้วย มีสตอรี่น่าสนใจมากกว่า น่าสงสารมากๆ เลยนะคะ น้องก้านกล้วยยังเป็นลูกช้างเล็กๆ หลังจากที่ได้มาเยี่ยมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยปีละหนสองหน วันหนึ่งคุณกิฟท์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ก็เข้ามากอดแล้วร้องไห้บอกว่า คุณหมอมาพอดีเลย คุณหมอช่วยด้วยได้มั้ย มีน้องช้างเชือกหนึ่งอายุ5-6 ขวบ กำลังนอนป่วย คือตำรวจจับได้ว่าเป็นช้างที่ลักลอบขนมาแล้วก็นอนป่วยอยู่ในรถสิบล้อ ช้างล้มแล้ว ถ้าล้มแปลว่านอนสี่ขาแล้วนะคะ และอาการแย่มาก คือช้างติดเชื้อในกระแสเลือดเพราะว่าที่ก้นเขามีแผลเป็นพันๆ แผลเลย โดนเจ้าของหรือควาญเอาเหล็กแหลมแทงก้นให้เขาเดินไปข้างหน้า เมื่อช้างหมดสติอยู่ ตำรวจก็เลยพามาที่นี่ มารักษาที่โรงพยาบาลช้างที่นี่ รักษากันอยู่หลายเดือน กระทั่งจากที่ปางตาย ช้างหายดีพอช้างหายดีปรากฏว่าเจ้าของจะขอรับกลับ
ที่ประเทศไทยในช่วงนั้นไม่มีกฎหมายเรื่องทารุณสัตว์ชัดเจน คนเป็นเจ้าของก็เป็นเจ้าของ ต่อให้เกือบจะทำช้างตายเขาก็เป็นเจ้าของอยู่ดี เจ้าของท้าว่า ถ้าอยากได้ก็ซื้อสิศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยไม่มีสตางค์ ตอนนั้นปรากฏว่ามีพนักงานโตโยต้ากลุ่มหนึ่งมาเที่ยว ประมาณ 20 กว่าคน ช่วยกันเรี่ยไรเงิน แต่ก็ได้ไม่พอ จะขาย 180,000 บาทเหมือนกัน ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นเดือนมกราคม กำลังอยากซื้อของขวัญให้ตัวเองเป็นแหวนสักวงหนึ่งเลยคิดว่าไม่เป็นไรไม่เอาแหวนก็ได้ ช่วยช้างเชือกหนึ่งดีกว่า ก็เลยได้ซื้อน้องมา เชื่อไหมน้องเขาร้องไห้ทุกครั้งที่มาหา พอเห็นเขาร้องไห้ก็จะถามพี่ควาญว่า อันนี้ตาแฉะหรือเขาร้องไห้พี่ควาญบอกว่าไม่ได้ตาแฉะ นี่ช้างร้องไห้เขาร้องไห้จริงๆ ที่ได้เจอเรา เขาดีใจ ก็ต้องขอบคุณสถาบันคชบาลแห่งชาติ ที่ดูแลน้องทั้งสองเชือกที่ได้ฝากไว้เป็นอย่างดี และหวังว่าช้างทุกเชือกที่อยู่ที่นี่จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีด้วย”
24 ปี 24 ล้านบาท ของการช่วยช้างสร้างประโยชน์ให้กับสถาบันคชบาลแห่งชาติ และการอนุรักษ์พันธุ์ช้างไทยมาอย่างยาวนาน นอกจากจะอิ่มบุญและสุขใจแล้ว อานิสงส์จากการช่วยช้างที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าคือ การสร้างองค์กรต้นแบบคุณธรรมให้กับสังคมไทย โดย แพทย์หญิงนลินี ย้ำว่า สิ่งหนึ่งที่เราต้องคิดคือ เราทำธุรกิจขายตรง หมายความว่าเราต้องสอนให้นักขายเข้ามาแล้วขายแบบมีจรรยาบรรณ ซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค การทำให้คนมีสตางค์กับการทำให้คนเป็นคนดี บางครั้งก็มีบางอย่างย้อนแย้ง และมันค้านกัน คนที่อยากรวยกับคนที่อยากเป็นคนดี บางครั้งมันยากมากที่จะตีคู่กันไป อันนี้พูดเรื่องจริงและเรื่องตรง เพราะถ้าบอกว่าคุณจะรวย ขณะเดียวกันคุณจะต้องเป็นคนดีและเสียสละด้วย มันเป็นเรื่องที่เราต้องสอน และมันเป็นเรื่องที่คนยอมรับได้ยาก ฉะนั้นส่วนหนึ่งที่ช่วยเด็กกำพร้าเรียนหนังสือ หรือมาช่วยศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย คิดว่าในมุมกลับมันเป็นอะไรสักอย่างที่สอนให้นักขายรู้ว่าเมื่อเรามีเงินแล้ว แข็งแรงแล้ว เราควรตอบแทนคืนกลับสู่สังคม และคืนกลับสู่ผู้ด้อยโอกาส”
สำหรับผู้มีใจบุญที่อยากจะช่วยช้าง และร่วมกันอนุรักษ์พันธุ์ช้างไทย แพทย์หญิงนลินี ทิ้งท้ายว่า สถาบันคชบาลแห่งชาติ เป็นหน่วยงานของภาครัฐ ซึ่งได้งบประมาณที่จำกัดผู้ใจบุญที่ไม่ได้มีกำลังทรัพย์มากและอยากจะช่วยช้าง ง่ายๆ ก็คือมาเที่ยวที่นี่ก็เป็นการสร้างรายได้ แล้วก็มีของที่ระลึกน่ารักๆให้เราซื้อกลับไป ส่วนผู้ที่ซื้อช้างที่ถูกทารุณมา แล้วมาฝากที่นี่เลี้ยงไว้ ก็ไม่อยากให้ฝากแล้วจากไป ถ้ามีกำลังก็อยากให้นำเงินมาช่วยส่งเสียเลี้ยงดูเขาบ้าง ตามที่จะมีกำลัง ถ้าจะช่วยใครก็อยากให้ช่วยอย่างถึงที่สุด มันก็อาจจะไปสอดคล้องกับธรรมะของพระพุทธองค์ที่ว่า การให้ทานมันจะทอนความโลภทอนความเห็นแก่ตัวลงไป นี่คือความจริง ที่เราได้พบตลอดมาจนถึงวันนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี