วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ทหารไทยเคยแสดงฝีมือการรบในสงครามเกาหลี เวียดนาม เคยไปช่วยรักษาสันติภาพกับสหประชาชาติ ในติมอร์ ซูดาน อิรัก โซมาเลีย และเคยมีบทบาทในการบรรเทาเหตุวิกฤตในเมืองไทยหลายครั้งเช่น น้ำท่วม พายุใหญ่ หรือภัยพิบัติสึนามิ
ใน พ.ศ. 2564 ทหารบกไทยได้ออกสมรภูมิอีกครั้ง แต่คราวนี้ต้องรบกับข้าศึกตัวจิ๋วจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ชื่อโควิด-19 ใช้อุปกรณ์ช่วยรบที่ไม่ใช่ปืนใหญ่ หรือรถถัง แต่เป็นรถบรรทุก เตียงสนาม ผ้าห่ม ลวดหนาม และจิตใจอันเข้มแข็งของทหารไทยที่ไปช่วยแพทย์พยาบาล ทำการลาดตระเวนปิดกั้นตรวจช่องทางชายแดนไม่ให้มีการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยผู้บัญชาการทหารบกกล่าวอย่างหนักแน่นว่า จะสนับสนุนทุกอย่างที่สามารถทำได้ชนิดเทหมดหน้าตัก
กองทัพบก จัดตั้งกองบัญชาการส่วนหน้า ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ขึ้นที่สมุทรสาคร โดยมอบให้พลโท สันติพงศธรรมปิยะ รองเสนาธิการทหารบก เป็นผู้อำนวยการศูนย์ (ผอ.ศบค 19 ทบ.) ส่งทหารบกกว่า 300 คนจากค่ายกำแพงเพชรอัครโยธิน มณฑลทหารบกที่ 16 และ กอ.รมน. สมุทรสาคร พร้อมรถบรรทุก ขนเตียงสนาม ผ้าห่ม และอุปกรณ์ไปสร้าง “ศูนย์ห่วงใยคนสาคร” แม้จะถูกชาวบ้านในบางพื้นที่ชุมนุมต่อต้านจนต้องถอยออกมา แต่ก็มีที่ซึ่งสามารถสร้างเสร็จได้ถึง 8 แห่ง รองรับผู้ป่วยได้ราว 2,000 เตียง คือ ตลาดกลางกุ้ง สนามกีฬากลางวัดโกรกกราก วัฒนาแฟคตอรี่(พันท้ายนรสิงห์) เทศบาลตำบลนาดี วัดสุทธิวาตวราราม(วัดช่องลม) วัดเทพนรรัตน์ และอบต.ท่าทราย ต่อจากทหารไทยก็ทำหน้าที่แขกยามร่วมกับตำรวจ ตั้งจุดตรวจร่วมคัดกรอง/วัดอุณหภูมิ คนเดินทางข้ามจังหวัด
โดยแต่ละวันจะมียานพาหนะผ่านจุดตรวจกว่า 3,000 คัน คอยลาดตระเวน เฝ้าระวัง ป้องกันไม่ให้คนภายในสถานที่กักกันหลบหนีออกมาข้างนอกหรือคนนอกเข้าไปในพื้นที่ควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาต ตลอด 24 ชั่วโมง ส่งทหารไปช่วยลงทะเบียนซักประวัติ คัดแยกบุคคล เพื่อเตรียมย้ายไปพักที่โรงพยาบาลสนาม นอกจากนี้ ทหารไทยได้มีส่วนเข้าช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการป้องกันการแพร่ระบาดและการควบคุมโรคอีกด้วย
กรมการทหารช่าง ราชบุรี ได้จัดทหาร พร้อมอุปกรณ์ไปช่วยก่อสร้างโรงพยาบาลสนาม ขนาด 1,000 เตียง ที่ วัฒนาแฟคตอรี่ ต.พันท้ายนรสิงห์ เพื่อให้เสร็จใช้การได้ในเร็ววัน โดยทำงาน ปรับพื้น เทปูน และก่ออิฐบล๊อกทำรั้ว โดยใช้เวลาเพียง 10 วันก็สามารถใช้โรงพยาบาลสนามแห่งนี้ได้
กองทัพอากาศ จัดอากาศยานไร้นักบินตรวจพื้นที่ชายแดนทั้งกลางวันและกลางคืน จัดโรงพยาบาลภูมิพลอดุลเดช โรงพยาบาลจันทรุเบกษา และโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) และกองเวชศาสตร์ป้องกัน ให้พร้อมรับผู้ป่วยโควิด ผลิตอุปกรณ์ป้องกันการแพร่เชื้อในแท็กซี่ และพัฒนาแอพพลิเคชั่น Air Track ติดตามผู้ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด และมอบพื้นที่โรงเรียนการบินกำแพงแสนให้ตั้งโรงพยาบาลสนามขนาด 120 เตียง ที่จังหวัดนครปฐม
ฝ่ายทหารเรือก็คอยเฝ้าทางทะเล จัดทีมแพทย์สนับสนุนการตรวจโควิดในกลุ่มลูกเรือประมงและแรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร ป้องกันการหลบหนีเข้าเมืองข้ามเขต ของแรงงานต่างด้าว จัดสถานที่ในฐานทัพเรือสัตหีบ เป็นที่กักตัว 14 วันของคนไทยที่กลับมาจากอู่ฮั่น และมอบสถานที่บริเวณฐานทัพเรือสัตหีบ และ จันทบุรี ให้กระทรวงสาธารณสุขใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม รองรับผู้ป่วยได้ 726 คน อีกด้วย
ภารกิจของทหารไทยในสงครามโควิดครั้งนี้ ถึงแม้จะสวมบทพระรองไม่ใช่พระเอก แต่ก็เป็นปฏิบัติการที่เสี่ยงภัยของทหารไทย แบบปิดทองหลังพระที่มีอันตรายสูงถึงชีวิตชนิดที่พลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว อันเป็นที่น่ายกย่องสรรเสริญยิ่งนัก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี