การห่างจากสังคมและการทำงานระยะไกล หรือ “Remote Working” จากการระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน ทำให้คนทำงานประสบปัญหาความเครียดมากขึ้น ตลอดจนเกิดความไม่สมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อ “สุขภาพจิต”แต่เรารู้หรือไม่ว่า “สุขภาพจิต” หมายถึงอะไร
“สุขภาพจิต” มีความหมายไกลไปกว่าการไม่มีความผิดปกติทางจิต เช่น ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล องค์การอนามัยโลกให้คำจำกัดความไว้ว่า “สุขภาพจิตดี”หมายถึง การที่บุคคลมีสภาพสุขภาวะทางจิตดีในการรับมือกับความเครียดในชีวิต สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำประโยชน์ให้แก่สังคมได้ ใครก็ตามต่างก็สามารถตกอยู่ในสภาวะสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ได้ ซึ่ง ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส (Dr.Tedros Adhanom Ghebreyesus)ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าวไว้ว่า มันไม่ง่ายเลยที่จะรู้ได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังเผชิญอยู่กับปัญหาสุขภาพจิตที่เป็นเหมือน “ฆาตกรเงียบ” โดยในความเป็นจริงแล้ว อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่คนเหล่านั้นจะเปิดใจยอมรับว่าพวกเขามีปัญหาสุขภาพจิต และเมื่อถึงตอนนั้นก็อาจจะสายเกินไปแล้ว
แม้ปัญหาสุขภาพจิตจะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง จากผลการสำรวจสุขภาพจิตในประเทศไทยของกรมสุขภาพจิต พบว่าบุคลากรทางการแพทย์มีระดับความเครียดเพิ่มขึ้นจาก 4.8% เป็น 7.9% ในขณะที่ประชาชนทั่วไปมีระดับความเครียดเพิ่มขึ้นจาก 2.7% เป็น 4.2% เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 อีกทั้งองค์การอนามัยโลก ยังมีรายงานว่า คนจำนวนเกือบ 1 พันล้านคนทั่วโลก มีปัญหาสุขภาพจิต โดยผู้ที่มีความเจ็บป่วยทางจิตอย่างรุนแรง จะเสียชีวิตเร็วกว่าผู้ที่ไม่มีความเจ็บป่วยทางจิตถึง 20 ปี
Mr.Jim Falteisek
อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้วิกฤติสุขภาพจิตทั่วโลกทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยคนทำงานรุ่นใหม่ในประเทศไทยกว่า 7 ใน 10 คน ระบุว่า การระบาดนี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของพวกเขา นายจ้างจึงต้องตระหนักว่าปัญหาสุขภาพจิตนั้นกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในที่ทำงาน เพราะปัจจุบันคนทำงานต้องรีบทำงานให้เสร็จภายในกำหนดเวลา บางคนถึงกับใช้วันลาเพื่อจะทำงานได้มากขึ้น และที่แย่ไปกว่านั้น คือ การไม่สื่อสารปัญหาเหล่านี้ในที่ทำงาน ยกตัวอย่างเช่น 63% ของพนักงานรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะเล่าให้เพื่อนร่วมงานฟังว่าพวกเขา ลางานเพราะมีปัญหาสุขภาพจิต เป็นผลให้คนในองค์กรขาดความตระหนักถึงปัญหาสุขภาพจิตที่คนทำงานต้องเผชิญมานานหลายปี
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีต่อสุขภาพอยู่เสมอ เป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการระบาดของโควิด-19 ได้สิ้นสุดลง และบริษัทต่างๆ พยายามที่จะขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าเพื่อชดเชยกับเวลาที่สูญเสียไป ซึ่งดูเหมือนจะสวนทางกับคำแนะนำที่ว่าให้ถอยกลับไปตั้งหลักเพื่อเปิดรับมุมมองใหม่ๆ แต่นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำ เมื่อเราได้ไตร่ตรองถึงบทเรียนสำคัญในปีที่ผ่านมา เราควรตระหนักว่าท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น เพื่อนร่วมงานของเราได้ร่วมเผชิญพายุลูกใหญ่กับเรา พวกเขาได้ผจญกับความท้าทายหรือบททดสอบที่ไม่เคยมีมาก่อน และได้เอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยการปรับเปลี่ยนและการคิดใหม่ๆ ด้วยความยืดหยุ่นและความอดทน ซึ่งหากพวกเขาขาดความบากบั่นอุตสาหะร่วมกัน บริษัทก็จะไม่สามารถอยู่รอดจากสถานการณ์นี้ได้
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “คน” ควรมาก่อนเสมอ ความคิดนี้จะช่วยให้เราสามารถดูแลพนักงานให้มีความสุข มีสุขภาพกาย และสุขภาพใจแข็งแรง และเรายังสามารถปูเส้นทางสำหรับการสร้างอนาคตการทำงานให้แก่พวกเขาได้ มันจึงไม่ใช่แค่สิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ควรทำอีกด้วย
Mr.Jim Falteisek รองประธาน 3M Asia Corporate Affairs มีข้อเสนอแนะว่า 1.อย่ากลัวที่จะพูดถึงปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณไม่เคยประสบมาก่อน ในช่วงแรกอาจจะมีคำถามมากมายและการพูดคุยอาจจะน่าอึดอัดบ้าง แต่นี่เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้วิธีจัดการกับปัญหาดังกล่าวที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านทั่วโลก สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือคุณไม่ได้อยู่คนเดียว และเมื่อคุณเปิดใจ คุณจะพบว่ามีคนอื่นมากมายที่เคยประสบปัญหาเช่นเดียวกันกับคุณ สิ่งที่คุณต้องทำเป็นก้าวแรกคือคุณต้องมีศรัทธาและเชื่อมั่นว่ามีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือและสนับสนุนในยามที่คุณมีปัญหา แต่หากคุณไม่ได้ประสบภาวะดังกล่าว ลองหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือคนรอบข้างได้ในอนาคต
2.ขอความช่วยเหลือเมื่อต้องการ นอกเหนือจากการสนับสนุนที่ดีจากที่บ้านแล้ว คุณควรซื่อสัตย์และโปร่งใสกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานที่ 3เอ็ม เราเปิดโอกาสให้พนักงานได้พูดคุยกับหัวหน้างานถึงแนวทางการทำงานที่ชอบผ่านโปรแกรม FlexAbility ซึ่งโปรแกรมนี้ส่งเสริมให้หัวหน้างานเข้าใจ สนับสนุน และให้ความช่วยเหลือพนักงานด้วยการขจัดอุปสรรคที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในที่ทำงาน อย่างไรก็ตาม โปรแกรมนี้อาจจะไม่เหมาะสมกับทุกคน จึงต้องมีการปรับใช้ตามหน้าที่รับผิดชอบของพนักงานและสถานการณ์ เราเชื่อว่าการสื่อสารแบบเปิดใจจะช่วยให้ความสัมพันธ์ดีและส่งผลให้การทำงานดีและมีประสิทธิภาพ
3.หาแรงบันดาลใจและลองใช้กลยุทธ์ใหม่ๆ ในการเผชิญปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายใหม่ๆ ที่คุณอยากลอง การฝึกสมาธิ การทำประโยชน์ให้แก่สังคมหรือชุมชนรอบตัว ตลอดจนการมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เพื่อจะได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดใหม่ๆ ในการรับมือกับความเครียด ตัวอย่างเช่น การช่วยเหลือให้พนักงานผ่านสถานการณ์นี้ได้ ที่ 3เอ็ม เรามีการจัดงาน Global Virtual Well-being Fair เพื่อให้พนักงานสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่จะช่วยส่งเสริมให้เขามีสุขภาพร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และความเป็นอยู่ที่ดี
4.ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น 3เอ็ม ได้จัดทำ Employee Assistance Program (EAP) ที่คอยให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมแก่พนักงานตลอดเส้นทางอาชีพ โดยโปรแกรมนี้มีบริการที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ หรือการให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีจัดการชีวิตในฐานะพ่อแม่ที่ต้องทำงานนอกบ้านซึ่งเป้าหมายของโปรแกรมต่างๆ เหล่านี้ คือเพื่อให้พนักงานได้รับความช่วยเหลือในทุกมิติของชีวิตเมื่อต้องการ
สรุปก็คือ การเสริมสร้างการมีสุขภาพจิตดีเป็นงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เสมือนเป็นการเดินทางแทนที่จะมีจุดสิ้นสุดที่ตายตัว ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ สภาพแวดล้อมในการทำงาน และการสนับสนุนที่เหมาะสม จะทำให้เราสามารถก้าวไปสู่การเป็นสถานที่ทำงานที่ส่งเสริมความเป็นหนึ่งเดียวกัน (Inclusive) และการร่วมมือร่วมใจระหว่างพนักงาน (Collaborative) การทำเช่นนั้น คือการใช้สติในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ปัญหาสุขภาพจิตส่งผลกระทบต่อเราทุกคน และถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ หากเรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบ เอาใจใส่ และเห็นอกเห็นใจคนทำงานในยุคศตวรรษที่ 21
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี