“ชีวิตการทำงานที่ประสบความสำเร็จ” คือเป้าหมายที่ทุกคนต่างวาดฝันไว้ ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็แล้วแต่ ทุกคนล้วนอยากประสบความสำเร็จในวิชาชีพของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น โดยแต่ละคนก็มีแนวทางไปสู่ฝั่งฝันที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสุดท้ายผลงานที่ทำก็จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จนั้นได้เอง สำหรับอาชีพ “หมอ” ความสำเร็จต้องไม่เพียงแต่วัดจากการรักษาคนไข้ให้หายดี และกลับมาใช้ชีวิตปกติได้เท่านั้น แต่ยังคงต้องไม่หยุดที่จะพัฒนาต่อยอดความรู้ใหม่ๆ ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีโรคระบาด ยิ่งส่งผลทำให้การทำงานของอาชีพหมอต้องเปลี่ยนแปลงไป ความท้าทายใหม่ทำให้ยิ่งต้องทบทวนถึงความสำเร็จอันแท้จริง สะท้อนให้เห็นถึงอีกหนึ่งบริบทของคนประกอบอาชีพแพทย์ในยุคโควิด ที่ถูกถ่ายทอดเรื่องราวผ่าน หมอซัง หรือ แพทย์หญิงพจนา จิตตวัฒนรัตน์ เจ้าของเพจ หมอซัง สุขภาพดีมีคำตอบ และผู้เขียน หนังสือ Unlock The Cancer DNA ถึงปัญหาและอุปสรรค รวมถึงความท้าทายของการทำงานในรูปแบบวิถีใหม่ (New Normal)
แพทย์หญิงพจนา จิตตวัฒนรัตน์เผยมุมมอง ว่า “โควิด-19 สร้างผลกระทบกับทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจทั่วโลก หลายธุรกิจได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของโควิด-19 และมีหลายแห่งจำเป็นต้องปิดตัวลงชั่วคราวตามมาตรการของรัฐซึ่งผลกระทบมีจำนวนมากในหลายภาคธุรกิจทั้งท่องเที่ยว บริการ รวมไปถึงธุรกิจสุขภาพ และถึงแม้ว่าปัจจุบันภาครัฐจะมีการทยอยปลดล็อกไปบ้างแล้ว แต่โรงพยาบาลในแผนกการรักษาพยาบาลอื่นๆ ก็จำเป็นต้องจำกัดจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาหรือผู้คนต้องเลื่อนการรักษาออกไปก่อน ส่งผลให้สถานพยาบาล รวมถึงคนไข้ ต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงกันมากยิ่งขึ้นไม่ต่างจากในหลายๆ ธุรกิจที่ต่างหันมาใช้โซเชียลมีเดีย (Social Media) หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ในการทำการตลาดเกือบทั้งหมด ซึ่งถือได้ว่าได้เกิดโอกาสในวิกฤติในส่วนของผู้ป่วยในช่วงโควิดที่ผ่านมามีการเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งการหาข้อมูลเกี่ยวกับโรค และการรักษา ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Google, Website,Facebook
นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าคนไทยให้ความสนใจในการดูแลสุขภาพ และสุขอนามัยกันมากขึ้น รวมถึงการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญในเรื่องการเลือกรับประทานอาหาร ทำให้เทรนด์อาหารสุขภาพเป็นที่นิยมมากขึ้นไปด้วย ในส่วนของสถานพยาบาล และแพทย์ผู้รักษาก็ต้องเกิดการปรับตัว เช่น การสั่งจ่ายยาทางไปรษณีย์เพื่อหลีกเลี่ยงการมาโรงพยาบาลและลดเวลาที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลให้น้อยที่สุด หรือสำหรับคนไข้ที่อยู่ต่างประเทศ และด้านเทคโนโลยีของการรักษาหรือ Health Technology ก็มีการนำมาพัฒนาและนำมาใช้กันมากขึ้น เช่น การให้คำปรึกษาสำหรับผู้ป่วยด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น การทำเทเลเมดิซีน (Tele-medicine) หรือการปรึกษาแพทย์ผ่านระบบวีดีโอออนไลน์ สำหรับในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สามารถมาโรงพยาบาลได้โดยในหลายๆ โรงพยาบาลได้จัดทำขึ้น เพื่อเป็นการเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลที่ใกล้กับผู้ป่วยอยู่อาศัย ทั้งการ Consultในลักษณะของ Second Opinionเช่น การส่งฟิล์มหรือข้อมูลต่างๆ มาให้แพทย์วิเคราะห์ และการส่งผลกลับให้ผู้ป่วย เพื่อนำผลที่ได้ไปรับคำแนะนำเรื่องการรักษา และการติดตามการรักษาคนไข้ผ่านการรักษาทางไกล
อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นเหมือนโอกาสใหม่ในการนำเทคโนโลยี และแนวความรู้ ในการรักษามาปรับใช้เพื่อให้สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ หรือที่เรียกกันว่า นิว นอร์มอล (New Normal) นอกจากนี้การตั้งรับเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เราต้องออกไปดูแลคนไข้ให้มีสุขภาพที่ดี มีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพเท่าเดิม ถึงแม้ว่าจะเป็นการรักษาทางไกลโดยส่วนตัวแล้วในช่วงที่ผ่านมาสิ่งที่เห็นคือ บางทีการรักษาทางยาเพียงอย่างเดียวร่างกายโทรมลง อาจจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถรับยาได้ดีเท่าที่ควร การเสริมเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น การปรับสารอาหาร หรือ Nutritionให้เพียงพอ ก็อาจจะทำให้สุขภาพของผู้ป่วยแข็งแรงขึ้นและได้รับการรักษาที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะต้องแนะนำผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจคอนเซ็ปต์ในการดูแลรักษา ให้สามารถดูแลตนเองได้ แม้จะอยู่ห่างจากหมอ”
แพทย์หญิงพจนา กล่าวเสริมว่า“คนไทยหันมาดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น และกังวลเรื่องสุขภาพกันอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็มีการศึกษาข้อมูลด้านสุขภาพต่างๆ ไปด้วย โดยเฉพาะโรคมะเร็ง อย่างตัวหมอเองทำโซเชียล มีเดีย ด้วยตัวเอง จะเห็นคำถามที่มาจากผู้ป่วยในยุคโควิดแบบเจาะลึก แสดงให้เห็นถึงการศึกษาข้อมูลมาอย่างละเอียด อย่างเช่น การรักษามะเร็งด้วยยามุ่งเป้า หรือ Targeted therapyผู้ป่วยจะรู้ข้อมูลค่อนข้างมาก เมื่อผู้ป่วยปรับตัว แพทย์เองก็ต้องปรับตัวควบคู่ไปกับการพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก อย่างเช่นหมอมองว่าจะให้การรักษาแบบเสริมฤทธิ์ หรือ Synergists คือ การจะให้คนไข้รับยาได้อย่างต่อเนื่อง ร่างกายของคนไข้ก็อาจจะอ่อนแอลง เราต้องดูแลวางแผนเรื่องการให้สารอาหารหรือวิตามิน เพื่อให้คนไข้มีร่างกายที่แข็งแรง เพื่อที่สามารถรับยาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งวิธีนี้หมอได้คิดขึ้นมาเอง ซึ่งดูได้ง่ายๆ อย่างเช่นการรักษามะเร็งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เราจะรักษาแบบตัดอย่างเดียว ต่อมาก็เป็นการให้ยา และการฉายแสง จนพัฒนามาถึงปัจจุบันคือ การรักษาเฉพาะบุคคล หรือPersonalized medicine ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง มีการให้ยาในกลุ่มมุ่งเป้า หรือ Targeted therapy ยากลุ่มภูมิต้านทานบำบัด ซึ่งในอนาคตก็จะมีการพัฒนาไปอีกว่าภูมิต้านทานบำบัดจะเป็นไปในรูปแบบไหนเพื่อให้เจาะจงกับตัวโรคและตัวบุคคลมากขึ้น ในขณะเดียวกันหมอมองว่าต้องทำควบคู่กันไประหว่างการทำให้คนไข้หายจากโรคและ คนไข้มีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น และร่างกายในส่วนอื่นๆ แข็งแรงด้วยเสมอ และถึงแม้ว่ามะเร็งอาจจะหายแล้วแต่เรายังต้องติดตามอาการของคนไข้ไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้คนไข้เป็นโรคอื่น และโรคเก่าไม่กลับมาอีก ซึ่งปัจจุบันการเข้าถึงยาแบบมุ่งเป้ายังเป็นไปด้วยความลำบาก เนื่องจากเป็นยาชนิดพิเศษที่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ทุกปัญหาก็ยังมีทางออกเมื่อตัวยาและวิวัฒนาการด้านการแพทย์พัฒนาก้าวไกลในปัจจุบัน ระบบประกันสุขภาพก็มีการพัฒนาก้าวตามกันไปด้วย มีการออกแพ็กเกจต่างๆมาเพื่อให้ครอบคลุมการรักษาโรคร้ายต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ซึ่งหากมีการวางแผนทำประกันสุขภาพไว้ ก็จะสามารถเป็นตัวช่วยให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษาที่ครบถ้วนได้มากขึ้น”
“เมื่อมะเร็งถือเป็นโรคที่น่ากลัว แต่หากได้รับการ “เข้าใจ” อย่างแท้จริง และพร้อมที่จะปรับตัว ระวังการใช้ชีวิตให้มากขึ้น ทำจิตใจให้แจ่มใส เพียงเท่านี้ก็จะมีชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และผ่านพ้นภาวะวิกฤติไปได้ ส่วนตัวของหมอคิดว่าการดูแลไม่ใช่แค่การให้ยาแล้วจบไปเราต้องมี Goal ที่จะทำให้คนไข้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ได้แนะนำไปเป็นไปตามที่วางแผนไว้”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี