“โรคอ้วน” หรือภาวะน้ำหนักเกินมาก เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ เบาหวาน ถุงลมโป่งพอง มะเร็งและความดันโลหิตสูง โรคเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแต่มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกสุขภาวะเป็นประจำต่อเนื่องยาวนาน เช่น สุบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารรสหวาน มัน เค็มจัด พักผ่อนและออกกำลังกายน้อย
ศ.(เกียรติคุณ) พญ.วรรณี นิธิยานันท์ ประธานเครือข่ายคนไทยไร้พุง กล่าวในเวทีเสวนา “ถอดบทเรียนโรคอ้วน ภัยเงียบคร่าชีวิตคนทั่วโลก” เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงความสำคัญของปัญหาโรคอ้วนในระดับสากล ว่า ในทวีปยุโรปตระหนักถึงเรื่องนี้มาประมาณ 20 ปีแล้ว ซึ่งโรคอ้วนนับได้เป็นปัญหามากกว่าโรคอื่นๆ ในประเทศไทยพบเด็กและผู้ใหญ่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานจำนวนมากจากการบริโภคเกินความจำเป็น ไม่ถูกหลักโภชนาการ
โดยปัจจุบันคนที่ป่วยเป็นโรคอ้วนมีอยู่ประมาณ 8 ร้อยล้านคนทั่วโลก และมีแนวโน้มมากขึ้นทุกปี โรคอ้วนนั้นนำไปสู่ภาวะโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และถึงขั้นนอนติดเตียง มีผลกระทบเป็นอย่างมาก เช่น มีค่าใช้จ่ายสูง ต้องเสียเวลาพบแพทย์บ่อยๆ และต้องทานยาหลายขนาน นอกจากนี้ยังทำให้ใช้งบประมาณแผ่นดินเพื่อรักษาเป็นจำนวนมาก
“โรคอ้วนเป็นสัญลักษณ์ว่าในอนาคตมีโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น ความดัน เบาหวาน อย่างแน่นอน โดยจะตรวจพบจาก 1.ดัชนีมวลกาย จะต้องไม่เกิน 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ซึ่งคนไทยมีดัชนีมวลกายเกินกำหนดประมาณ 20 ล้านคน และมีแนวโน้มมากขึ้นทุกปี และ 2.วัดรอบพุง โดยนำส่วนสูงเอามาหารสอง ซึ่งผู้หญิงไม่ควรจะเกิด 80 เซนติเมตร ส่วนผู้ชายไม่ควรเกิน 90 เซนติเมตร จากผลสำรวจเมื่อปี 2557 พบว่ามีคนอ้วนลงพุงประมาณ 20.8 ล้านคนโดยส่วนมากจะเป็นผู้ชาย” ศ.(เกียรติคุณ) พญ.วรรณี กล่าว
ขณะที่ พ.ท.(หญิง) พญ.สิรกานต์ เตชวณิช คณะกรรมการเครือข่ายคนไทยไร้พุง กล่าวเสริมว่า อาหารเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งส่วนใหญ่อาหารที่ทำให้พลังสูงมักจะใช้ไขมันเป็นหลัก แม้แต่อาหารที่รับประทานทุกวันก็มีไขมันเช่นกัน เนื่องจากจากใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบหลักในการประกอบอาหาร อย่างไรก็ตามเราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอ้วนได้โดยกินอาหารที่พอเหมาะให้ได้พลังงานเพียงพอกับงานและกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน
“คนอ้วนที่ต้องการลดน้ำหนัก สามารถเน้นการลดปริมาณอาหารที่กินให้น้อยลงได้ด้วยการเลือกรูปแบบการกินอาหารแบบใดก็ได้ เช่น แบบอาหารคีโต (Keto diet) กินแบบจำกัดเวลาหรืองดอาหารช่วงยาวในแต่ละวัน (Intermittent Fasting, IF) หรืออาหาร 2:1:1 แต่ต้องกินให้ถูกหลักโภชนาการ เพื่อไม่ให้เกิดโทษกับร่างกาย” พ.ท.(หญิง) พญ.สิรกานต์ กล่าว
นอกจากเรื่องอาหารแล้ว การนอนดึกหรือเครียดบ่อยๆ ก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคอ้วน ประเด็นนี้ รศ.พญ.พิมพ์ใจ อันทานนท์ กรรมการสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย อธิบายว่าการนอนไม่เพียงพอไปกระตุ้นให้อยากรับประทานอาหารมากขึ้น พร้อมทำให้ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความอิ่มมีน้อยลง จึงทำให้มีโอกาสที่จะทำให้เกิดโรคอ้วนได้ ส่วนคนที่เครียดร่างกายจะสร้างฮอร์โมน “คอร์ติซอล” (Cortisol) ถ้าหากมีในระยะสั้นๆ เป็นที่ดี โดยจะทำให้ช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดได้ ถ้าเกิดขึ้นในระยะยาวจะทำให้มีความหิวต่ออาหารมากขึ้น มีการเรียกร้องที่จะกินอาหารที่มีพลังงานสูง เช่น อาหารจำพวกไขมัน และคาร์โบไฮเดรต
อนึ่ง ปัจจุบันที่มีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้ไม่มีหลักฐานยืนยันผู้ป่วยโรคอ้วนเสี่ยงติดโควิด-19 มากกว่าคนปกติ แต่ในทางการแพทย์พบว่าคนกลุ่มนี้มีภูมิคุ้มกันต่ำ ถ้าติดโควิด-19 อาจจะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตง่ายกว่าคนที่สุขภาพแข็งแรง เนื่องจากมีภาวะมีโรคประจำตัว ได้แก่ เบาหวานความดันโลหิตสูง เป็นต้น โดยดูได้จากปรากฏการณ์การระบาดของโรคติดเชื้ออื่น เช่น ไข้หวัดใหญ่ ที่คนอ้วนจัดเป็นกลุ่มต้องได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อรุนแรง เพราะคนอ้วนจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงแรกที่เป็นโรคต่างๆ ได้ง่าย
ด้าน อรณา จันทรศิริ นักวิจัยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กล่าวถึงการมีกิจกรรมทางกาย ว่าหมายถึงกิจกรรมที่มีการใช้พลังงานในทุกรูปแบบ หรือ “ทุกขยับนับหมด” ซึ่งสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องรอเฉพาะเมื่อมีเวลาออกกำลังกาย การมีกิจกรรมทางกายประจำ เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยลดไขมัน ควบคุมน้ำหนัก และป้องกันโรคเรื้อรังได้
“เมื่อทำได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต ควบคู่ไปกับการมีสุขภาพแข็งแรงและจิตแจ่มใส แนะนำให้คนอ้วนที่เริ่มลดน้ำหนักเริ่มต้นด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น อาจเริ่มเดินให้ครบ 8,000-10,000 ก้าวต่อวัน จากนั้นให้คิดถึงโอกาสที่จะพิชิตเป้าหมายแต่ละวันให้สำเร็จ เช่น การชวนเพื่อนที่ออกกำลังอยู่แล้วไปออกกำลังกายด้วยกัน หาสถานที่และปรับวิถีชีวิตให้สามารถมีกิจกรรมทางกายได้จนเป็นนิสัย” อรณา กล่าว
เรื่องราวจากวงเสวนาข้างต้นเป็นแนวทางสำหรับปัจเจกบุคคลนำไปปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี แต่ขณะเดียวกัน ภาครัฐในฐานะผู้กำหนดนโยบายสามารถช่วยให้พลเมืองของตนลดปัจจัยเสี่ยงโรคอ้วนได้ หนึ่งในนั้นคือการ “เก็บภาษีความหวาน” โดยประเทศไทยนั้น นับตั้งแต่มี พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 ที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2560 โดยกำหนดให้จัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล เครื่องดื่มผง(3in1) และเครื่องดื่มเข้มข้นตามปริมาณน้ำตาล เป็นระบบขั้นบันได และปรับเพิ่มขึ้นทุกๆ 2 ปี ให้ได้ตามเกณฑ์แนะนำที่ร้อยละ 6 ในปี 2566 เพื่อให้ผู้ผลิตมีเวลาทยอยปรับสูตรผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ ผลการศึกษาโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบกลุ่มตัวอย่างมีการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลลดลงจาก 283.6 มิลลิลิตร ในปี 2561 เป็น 275.8 มิลลิลิตรในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 2.8 โดยกลุ่มตัวอย่างอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปบริโภคลดลงสูงสุด ร้อยละ 7.2 เช่นเดียวกับรายงานของคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล กระทรวงอุตสาหกรรม ว่าด้วยปริมาณการบริโภคน้ำตาลของคนไทยในปี 2555-2562 ที่พบว่า ระหว่างปี 2551-2560 คนไทยบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น แต่หลังการบังคับใช้เรื่องภาษี พบ คนไทยบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 15.3 ในปี 2561 และร้อยละ 14 ในปี 2562
แต่ยังมีความท้าทายอยู่ที่ร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ได้อยู่ในภาคอุตสาหกรรม เป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยากกว่าในด้านการใช้เครื่องปรุงรส เช่นเดียวกับสังคมเมืองโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่ผู้คนเสียเวลาไปมากกับการเดินทางบนยานพาหนะต่างๆจึงค่อนข้างมีข้อจำกัดในการออกกำลังกาย เหล่านี้จะแก้ไขกันอย่างไร?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี