หากจะลำดับเหตุการณ์เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ คงมีคนไทย และคนต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยอยากรู้กันไม่น้อย โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจความเป็นอยู่ของคนไทยเพราะความเปลี่ยนแปลงทางด้านนี้ของคนไทยทั้งประเทศมีความก้าวหน้าและรวดเร็วไม่แพ้ประเทศดังๆ ในโลกเช่นกัน
หนังสือ ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย เขียนโดย “พอพันธ์ อุยยานนท์” ที่สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำมาพิมพ์ออกเผยแพร่ มีขนาดความหนา 373 หน้า ราคาจำหน่ายเล่มละ 390 บาท เป็นการตั้งรูปแบบและราคาจำหน่ายที่สมน้ำสมเนื้อเหมาะที่จะหามาไว้เป็นหนังสือประจำบ้าน
โดยผู้เขียนจัดอันดับความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยเอาไว้ 4 ช่วงตอนคือ ช่วงที่หนึ่ง พ.ศ. 2398 (การลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง) - พ.ศ. 2475 ช่วงที่สอง พ.ศ. 2475(การเปลี่ยนแปลงการปกครอง) - พ.ศ. 2500 ช่วงที่สาม พ.ศ. 2500 (การยึดอำนาจของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์) - พ.ศ. 2540 และช่วงที่สี่ พ.ศ. 2540 (วิกฤติเศรษฐกิจ) - ปัจจุบัน
ผู้เขียน นำเสนอบทวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของจุดเปลี่ยนโครงสร้างของค่าจ้าง และรายได้ของประเทศไทย ซึ่งมีพัฒนาการมาจากประเทศที่มีค่าแรง (รายได้) สูง และกลายมาเป็น ประเทศที่มีค่าแรง (รายได้ ) ต่ำ ซึ่งเกิดขึ้นในทศวรรษหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเกิดขึ้นในชนบท และกลายเป็นประเทศที่ขาดแคลนแรงงานในบางสาขาการผลิต ซึ่งเกิดขึ้นในทศวรรษ 2530
โดยการศึกษาปัจจัยที่กำหนดค่าจ้างคือ การเปลี่ยนแปลงของประชากร อุปทานแรงงาน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในทศวรรษ 2470 ผลของเงินเฟ้อในช่วงและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตลาดแรงงาน ผลิตภาพการผลิตในภาคเกษตร และศึกษาถึงจุดเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มจะขาดแคลนแรงงานมากยิ่งขึ้นหลัง
พ.ศ. 2529
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงเศรษฐกิจและการเมืองไทยในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับต่างๆ สังคมการเมืองในรูปแบบต่างๆ เช่น อมาตยาธิปไตย ประชาธิปไตยครึ่งใบ ระบบธนกิจการเมืองและการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ.2540 เป็นต้น
หากจะดูกันจากตัวเลขกลม ตั้งแต่ 2398 มาจนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่มากไม่น้อย เป็นเพียงประวัติศาสตร์ระยะใกล้เท่านั้นคือ ประมาณ 166 ปี เป็น ช่วงที่ยังมีหลักฐานและเรื่องราวที่มีหลักพยานยืนยันให้เห็นถึงความเป็นจริงได้อย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้น หากจะมีนักบริหารคนใดคนหนึ่งนำเอาไปวิเคราะห์วิจัยเพื่อนำมาแก้ไขถึงปัญหาที่กำลังเกิดเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่า เรื่องของรายได้ประชากร เรื่องของ ตลาดแรงงาน หรือแม้แต่เรื่องของการลงทุน เราจะมีความน่าจะได้เปรียบประเทศอื่นๆ อยู่ไม่น้อย เพราะเราสามารถมีตัวอย่างของความสำเร็จและความผิดพลาดเป็นบทเรียนในการไขปัญหาหรือขจัดปัญหาไม่ให้มันเกิด หรือ ไม่เกิดต่อไปได้ ขอเพียงว่าอย่าให้เกิดทิฐิมานะที่จะไม่ยอมรับถึงความล้มเหลวมาเป็นบทเรียน เพราะกลัวจะเสียหน้าต่อวงศ์ตระกูลหรือบรรพบุรุษของตัวเอง
เรียนรู้ด้วยตนเอง แม้จะไม่ผ่านสถาบัน แนวคิด หลักการ การจัดการทรัพยากรบุคคล
“การจัดการทรัพยากรบุคคลพื้นฐานแนวคิดเพื่อการปฏิบัติ”เขียนโดย “เดชา เดชะวัฒนไพศาล”ฉบับพิมพ์ครั้งที่สอง ออกวางตลาดแล้วในราคา 380 บาท 306 หน้า ของ สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวคิด หลักการ และวิธีการปฏิบัติในด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลด้านต่างๆ อาทิ บทบาทและความรับผิดชอบของงานบริหารงานทรัพยากรบุคคล การวางแผน การสรรหาและคัดเลือก การฝึกอบรมและพัฒนา การวางแผนเส้นทางอาชีพ การประเมิน ผลการปฏิบัติงาน การบริหารค่าจ้าง ค่าตอบแทน และสวัสดิการ สุขภาวะความปลอดภัยในการทำงานและภารกิจด้านพนักงานสัมพันธ์ เป็นต้น
เป็นหนังสือที่เหมาะกับผู้ที่ปฏิบัติงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ตลอดจนผู้ที่ปฏิบัติงานในสายงานอื่นๆ ในองค์กร ผู้บริหารส่วนงานในระดับต่างๆ ผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการที่แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนมาในระบบ แต่สามารถเก็บเกี่ยวเนื้อหานำไปใช้ประโยชน์เพื่อหน้าที่การงานของตัวเองได้เป็นอย่างดี
สิ่งสำคัญของการเรียนรู้คือการกระทำเพื่อเชื่อมต่อ รวมประสบการณ์ทั้งภายนอกและใน มาไว้ด้วยกัน
“แนวคิดและทฤษฎีทางรัฐประศาสนศาสตร์” เขียนโดย “สัญญา เคณาภูมิ” ราคา 390 บาท เนื้อหาเน้นให้เห็นว่าสิ่งสำคัญของการเรียนรู้คือการกระทำเพื่อเชื่อมต่อ ระหว่างความจริงที่แท้จริง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ภายนอกตัวเรากับการรับรู้ความจริง อันเป็นสมรรถนะภายใน เริ่มตั้งแต่การสัมผัส การรับรู้ การประมวลผล การแปลความหมาย จนถึงสรุปความรู้ขั้นสุดท้ายที่เรียกว่า “การเชื่อในความจริงที่แท้จริง หนังสือ เล่มนี้นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งในส่วนของกระบวนทัศน์ ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับกำเนิดทางรัฐประศาสนศาสตร์ วิวัฒนาการองค์การและการจัดการ กระบวนทัศน์ทางเลือกสาธารณะ กระบวนทัศน์การจัดการภาครัฐแนวใหม่ กระบวนทัศน์ การจัดการบริการสาธารณะแนวใหม่ กระบวนทัศน์ธรรมาภิบาล นอกจากนี้ยังกล่าวถึง ขอบข่ายองค์ความรู้สำคัญทางรัฐประศาสนศาสตร์ ว่าด้วยวิธีการดำเนินงานภาครัฐที่เป็นรูปธรรม และด้านขอบข่ายการวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์ ที่มีการระบุประเด็นการพัฒนาองค์ความรู้ทางรัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งจะทำให้สามารถนำไปต่อยอดองค์ความรู้ได้ต่อไป
‘การรำ’ภูมิปัญญาไทยเพื่อการรักษาสุขภาพ ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพและสร้างสุขภาพจิต
“รำเสริมสุข บุคลิกภาพดี”เขียนโดย “วิมลศรี อุปรมัย” ราคา 200 บาท เป็นหนังสือที่นำท่ารำต่างๆ ในรูปแบบของการถ่ายทอดวิชานาฏศิลป์ผ่านตัวอักษรที่อ่านเข้าใจง่าย โดยมีศัพท์เทคนิคแสดงความเป็นเจ้าของเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาไทยมารวบรวมไว้ ซึ่งผู้อ่านสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ โดยการขยับร่างกาย นอกจากนี้ท่ารำเหล่านี้ยังมีความสนุกสนาน สอดคล้องกับจังหวะดนตรีอีกด้วย การรำประกอบดนตรีนับว่าช่วยส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติมีสุขภาพกายที่ดี อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพและสร้างสุขภาพจิตที่ร่าเริงสนุกสนาน เสริมสร้างจินตนาการ เพราะการขับร้องเพลง และการฟังเพลง ประกอบการขยับร่างกายนั้น สามารถสร้างความสุขให้กับผู้ปฏิบัติ ตลอดจนทำให้คนรอบข้างที่พบเห็นมีความสุขไปด้วยจนอาจจะลุกขึ้นมาร้องเพลงและขยับร่างกายประกอบจังหวะตาม นับว่าหนังสือเล่มนี้เป็นคู่มือที่ช่วยสร้าง จุดเปลี่ยนสำคัญให้แก่ผู้ที่รักการมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ
คลายข้อสงสัย การบริหาร จีนยุคใหม่ เกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครอง
“ครองแผ่นดินจีน : พรรค ผู้นำ อำนาจรัฐ” เขียนโดย “วรศักดิ์ มหัทธโนบล” นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองของจีนในรูปแบบพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐบาลจีนอย่างละเอียด พร้อมด้วยนโยบายต่างๆ และสถานการณ์ต่างๆ ของจีน ทำให้ผู้อ่านสามารถคลายข้อสงสัย เกี่ยวกับรูปแบบการบริหารประเทศ ของจีนในยุคปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังนำเสนอเจาะลึกในเรื่องการปกครองที่มีส่วนย่อยลงไปอีก อาทิ สภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน สภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน การเมืองการปกครองท้องถิ่นของจีน และมีการวิเคราะห์เจาะลึกเกี่ยวกับการปกครองของจีน ปัญหาที่จีนต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน อาทิ ปัญหาชนกลุ่มน้อย พื้นที่ทับซ้อนกันของอำนาจหน่วยบริหาร เป็นต้น หนังสือเล่มนี้จะช่วยเปิดโลกให้ผู้อ่านได้ศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับจีนได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง อันจะนำมาซึ่งความเข้าใจในระบอบเศรษฐกิจและการเมืองของจีนได้เป็นอย่างดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี