จากกรณี เรือเอเวอร์ กิฟเว่น (Ever Given) เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ ระวางขับน้ำกว่า 224,000 ตันถูกกระแสลมแรงซัดจนเสียหลักเกยตื้นขวางคลองสุเอซตั้งแต่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จนอาจจะสร้างความลำบากในการขนส่งสินค้า เนื่องจากเรือลำอื่นจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือซึ่งต้องใช้เวลาและน้ำมันเพิ่มมากขึ้น จึงอาจจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าในอนาคตนี้ได้
จนถึงตอนนี้ เรือก็ยังอยู่ในจุดเดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เนื่องจากความใหญ่มหึมาของตัวเรือที่ยาวเท่าสนามฟุตบอล 4 สนาม สูงเท่าตึกหลายสิบชั้น พร้อมด้วยตู้คอนเทนเนอร์ในเรืออีกมากกว่า 20,000 ตู้ ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังพยายามอย่างยิ่งยวดในการปล่อยเรือออกไปจากจุดนี้
จากภาพกราฟิกและภาพถ่ายจากดาวเทียม ณ เวลานี้ มีเรือขนส่งสินค้าเกือบ 200 ลำ ที่ติดอยู่ในคลอง กลับตัวก็ไม่ได้ จะแล่นต่อไปก็ไปไม่ถึง เนื่องจากคลองสุเอซที่เคยมีเรือสินค้าและเรือน้ำมันแล่นผ่านโดยเฉลี่ยวันละ 50 ลำ กลายเป็นคลองตันไปเสียฉิบ และคาดว่าในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้าหากยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ อาจมีเรือมากกว่า 300 ลำ ติดอยู่ที่นี่
ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Boskalis บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการกู้ซากเรือสัญชาติดัตช์ ได้เริ่มต้นทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคลองแล้วในวันพฤหัสบดีมุ่งเน้นไปที่การขจัดทรายและโคลน ปริมาตรราว 20,000 ลูกบาศก์เมตรออกจากบริเวณด้านข้างของท่าเรือที่หัวและท้ายเรือติดอยู่ และจะต้องขุดไปให้ได้ที่ระดับความลึกราว 12-16 เมตร เพื่อที่จะให้เรือสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระอีกครั้ง ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นงานที่ยากลำบาก เพราะรถตักดินที่ดูคันใหญ่ กลายเป็นรถคันจ้อยเหมือนของเด็กเล่น เมื่อไปจอดอยู่ใกล้หัวเรือสินค้าลำนี้
ส่วนวิธีอื่นๆ ที่หลายฝ่ายคิดกันอยู่ในตอนนี้ ก็รวมถึงถ่ายน้ำหนักเรือให้เบาลง เพื่อให้เรือลอยขึ้น ซึ่งอาจทำได้ด้วยการดูดเอาน้ำมันออก หรือดูดเอาน้ำถ่วงเรือออก หรือเป็นการยกเอาตู้คอนเทนเนอร์ออก แต่ก็ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ เพราะบริเวณนั้นไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีเครนขนาดใหญ่ที่จะมายกตู้คอนเทนเนอร์ออกทีละตู้ ถึงจะยกออกมาได้ก็ต้องมานั่งปวดหัวอีกว่า แล้วจะเอาตู้คอนเทนเนอร์ที่อาจต้องยกออกเป็นพันๆ ตู้ไปไว้ที่ไหน
ส่วนความเคลื่อนไหวจากเจ้าของเรือชาวญี่ปุ่น Shoei Kisen ระบุว่าก่อนหมดช่วงสุดสัปดาห์นี้ น่าจะมีข่าวดี ซึ่งนับว่ายังค่อนข้างขัดกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินเรือหลายคน ที่มองว่าอาจต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์ จึงสามารถยุติการขวางคลองได้ นั่นทำให้มีบริษัทเดินเรือบางแห่งตัดสินใจ เปลี่ยนเส้นทางไปอ้อมแหลมกู้ดโฮป ปลายสุดทางใต้ของทวีปแอฟริกา ซึ่งกินระยะทางเพิ่มถึง 5,100 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางเพิ่มอีกราว 12 วัน บางบริษัทกำลังพิจารณาขนถ่ายสินค้าที่มีมูลค่าสูงทางอากาศแทน
แน่นอนว่าปัญหานี้ กลายเป็นเรื่องที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างที่สุดสำหรับการขนส่งทั่วโลก เนื่องจากการขนส่งราว 10% ของสินค้าทั่วโลกต้องเดินทางผ่าน คลองสุเอซแห่งนี้โดยเฉพาะการขนส่งน้ำมันดิบ ซึ่งอาจกระทบต่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ส่งจากตะวันออกกลางไปยังยุโรปและกระทบกับห่วงโซ่อุปทาน ซ้ำเติมจากปัญหาที่เกิดจากวิกฤติโควิด-19ผลร้ายหนีไม่พ้นมาถึงผู้บริโภคจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เพราะเมื่อมีเรือบรรทุกน้ำมันติดค้างอยู่ประมาณ 30 ลำจนมีการเพิ่มอัตราค่าบรรทุกน้ำมัน ต้นทุนน้ำมันย่อมสูงขึ้นแน่นอน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินเรือได้ประเมินว่า เหตุการณ์นี้กระทบต่อจัดส่งสินค้า คิดเป็นมูลค่า 9,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่คลองสุเอซถูกปิด กลายเป็นคลองตันแบบนี้ก่อนหน้านี้ เคยปิดมาแล้ว 2 ครั้ง จากวิกฤติคลองสุเอซ หรือ สงครามอาหรับ-อิสราเอล ซึ่งทำให้ต้องปิดลงในปี 1956-1957 และอีกครั้งในปี 1967 เมื่ออิสราเอลเข้ายึดคาบสมุทรไซนายและเปิดอีกทีในปี 1975 เว้นช่วงนานถึง 8 ปี
แต่การที่คลองสุเอซถูกเรือขวางครั้งนี้ น่าจะกระทบหนักกว่า 2 ครั้งก่อนเนื่องจากมีการค้าระหว่างยุโรป และเอเชียที่มหาศาลขึ้นมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา และทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามขึ้นว่า เรือบรรทุกสินค้าในปัจจุบันที่มีขนาดใหญ่เพื่อรองรับการค้าโลกที่ขยายตัวสูงนั้น มีขนาดใหญ่เกินไปหรือไม่เพราะนอกจากกรณีอุบัติเหตุเช่นนี้แล้ว เรือลำมหึมาเช่นนี้ทำให้เกิดความแออัดในการเทียบท่าเรือและการเดินเรือติดขัด
ยิ่งถ้าเกิดอุบัติเหตุสุดแปลกที่ทำให้คลองสุเอซ กลายเป็น “คลองตัน”แบบนี้ ก็คงไม่ต้องไปไหนกันพอดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี