เป็นเวลากว่า 13 ปีแล้ว ที่ บริตนีย์ สเปียร์ส ศิลปินชื่อดัง ต้องเผชิญจากการมีผู้ปกครองตามคำสั่งศาล กลายเป็นประเด็นบาดหมางระหว่างพ่อลูก จนล่าสุด เจ้าตัวทนไม่ไหว ขอระบายความอัดอั้นตันใจละเอียดยิบถึง 24 นาที ต่อผู้พิพากษาและคณะลูกขุนระหว่างการไต่สวนออนไลน์ครั้งล่าสุด เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ตั้งแต่ปี 2008 แล้ว ที่นักร้องสาวคุณแม่ลูกสองไม่มีอิสระในตัวเอง เนื่องจากพฤติกรรมหลุดโลกในอดีต ศาลจึงแต่งตั้งให้ เจมี สเปียร์ส พ่อของเธอเป็นผู้ปกครอง ดูแลทั้งพฤติกรรมส่วนตัว การทำงาน ตลอดจนการเงินของเธอ ซึ่งที่ผ่านมา บริตนีย์ พยายามร้องศาลขอเป็นไทมาตลอด แต่ไม่เคยสำเร็จคราวนี้เธอจึงแฉละเอียดยิบถึงเรื่องที่ไม่เคยพูดเพราะถูกบังคับไม่ให้บอกใคร ขณะเดียวกันเธอเองก็ไม่กล้าพูดเพราะกลัวจะเสียชื่อเสียง กลัวถูกหัวเราะเยาะ และกลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อ แต่บัดนี้เจ้าตัวไม่กลัวอีกต่อไป
นักร้องสาววัย 39 ปีบอกชัดๆ เน้นๆ ว่า เธออยากได้ชีวิตของเธอคืน เพราะการมีผู้ปกครองนั้นเป็นภัยมากกว่าจะเป็นการดีต่อชีวิตของเธอ ที่ผ่านมา เธอต้องบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากการอยู่ภายใต้การปกครองของพ่อตัวเองและคนอื่นๆ ที่ถูกจ้างมาดูแลเธอ แต่กลับปฏิบัติต่อเธอราวกับทาส
บริตนีย์ เปรียบการที่ถูกพ่อบังคับให้ทำโน่นนี่ตลอดเวลาว่าไม่ต่างอะไรกับการค้ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้ออกทัวร์คอนเสิร์ตเมื่อปี 2018 และการโชว์คอนเสิร์ตที่ลาสเวกัส ซึ่งติดๆ กันจนแทบไม่มีเวลาได้พัก ทั้งยังถูกบังคับให้ซ้อมอย่างหนัก แถมด้วยการประชุมงาน รวมแล้วต้องทำงานวันละ 10 ชั่วโมง ตลอด 7 วันต่อสัปดาห์ เท่านั้นไม่พอ เธอยังต้องไปพบจิตแพทย์สัปดาห์ละ 2 ครั้งและไปสถานบำบัดอีกสัปดาห์ละ 2 ครั้งซึ่งแต่ละครั้งก็ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพปาปาราซซี่ ที่มาดักถ่ายภาพที่น่าขายหน้าตอนเธอเดินเข้า-ออกสถานบำบัด ทำให้เธอทั้งรู้สึกแย่และถูกกดดัน
บริตนีย์ ยังถูกบังคับให้กินยาลิเธียม ซึ่งเป็นยาทางจิตเวช ที่มีผลข้างเคียงรุนแรง ทำให้เธอเมายาจนพูดคุยกับใครไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อเธอบอกว่ารู้สึกกลัวที่ต้องกินยาตัวนี้ พ่อและทีมผู้ดูแลกลับให้หมอและพยาบาลถึง 6 คนมาประกบเฝ้าสอดส่องเธอถึงในบ้านตลอด 24 ชั่วโมง พวกเขาเฝ้าดูแม้กระทั่งตอนที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอก็ต้องเปลือยกายให้พวกเขาเห็นหมด ทั้งร่างกายและห้องนอนของเธอไม่มีความเป็นส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น
บริตนีย์ยังบอกอีกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอกลายเป็นคนป่วยจากอาการซึมเศร้า นอนไม่หลับ ร้องไห้ทุกวัน กับการถูกบังคับให้ทำงานตามที่พ่อและทีมงานกำหนดให้ราวกับเป็นทาส ซ้ำยังโดนยึดของทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเงินสด, เครดิตการ์ด, โทรศัพท์, พาสปอร์ต แถมยังต้องอยู่ร่วมบ้านกับคนที่ไม่รู้จักอีกหลายคน หากไม่ยอมทำตามก็ขู่จะฟ้องศาล แต่เธอกลับไม่มีสิทธิ์จะหาทนายให้ตัวเองด้วยซ้ำ แม้กระทั่งการสัมภาษณ์ผ่านสื่อก็มีแต่พ่อเท่านั้นที่เป็นฝ่ายพูดให้เธอยิ่งดูเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเธอบอกว่าเธออยากมีครอบครัวกับแซม อัสการี แฟนหนุ่มคนปัจจุบัน และมีลูกเพิ่มอีกก็ทำไม่ได้ เนื่องจากพ่อไม่อนุญาตให้เอาห่วงอนามัยคุมกำเนิดออก อย่าว่าแต่จะได้ออกไปเที่ยวกับแฟนหนุ่ม เพราะแม้กระทั่งจะออกไปหาเพื่อนที่อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 8 นาทียังทำไม่ได้รวมถึงการพักผ่อนช่วงคริสต์มาสกับ ฌอน และเจย์เดน ลูกของเธอทั้งสองคนที่รัฐหลุยเซียนา ก็ยังต้องได้รับอนุญาตจากพ่อก่อน แถมตลอด2 สัปดาห์ในวันหยุดยาวช่วงคริสต์มาส ยังมีเจ้าหน้าที่มาทำการทดสอบทางจิตวิทยาถึงบ้านทุกวัน วันละ 4 ชั่วโมง แล้วสุดท้ายพ่อก็โทร.มาบอกว่าเธอไม่ผ่านการทดสอบดังกล่าวต้องไปเข้ารับการบำบัด ต้องเสียเงินเดือนละกว่า 60,000 ดอลลาร์เพื่อการนี้
ที่ผ่านมา บริตนีย์บอกว่า โพสต์ภาพสดใสในอินสตาแกรมหัวเราะร่าน้ำตาริน เพื่อบอกโลกว่า เธอโอเค แฮปปี้ มีความสุขก็เพราะคิดว่าทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ มันน่าจะรู้สึกโอเค แต่แท้จริงแล้ว เธออยู่ในสภาวะช็อกและไม่มีความสุขโดยสิ้นเชิง วันนี้เธอจึงสุดจะทนที่ทุกคนทำเหมือนเธอตายไปแล้ว ไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่เธอรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมที่เธอต้องถูกคนที่กินเงินเดือนจากเธอมาบังคับให้ทำสิ่งต่างๆ บริตนีย์ จวกแรงว่า พวกผู้ปกครองไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามล้วนเข้ามาเพื่อหวังกอบโกยเงินจากเธอ หาประโยชน์จากเธอและงานของเธอเท่านั้น ถ้าหมดเงินเขาก็คงไม่อยากจะเป็นผู้ปกครองเธออีกต่อไป
วันนี้ เธอจึงขอให้ศาลพิจารณาว่าตราบใดที่เธอสามารถทำงานหาเงินเลี้ยงดูตัวเองและผู้อื่นได้ เธอก็ไม่สมควรที่จะต้องมีผู้ปกครอง จึงขอให้ศาลสั่งสิ้นสุดการมีผู้ปกครองโดยไม่ต้องผ่านการประเมินสภาพจิตใจหรือใดๆ ทั้งสิ้นเพราะเธอผ่านเรื่องพวกนี้มามากเกินพอแล้ว และอยากให้ศาลได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเธอบอบช้ำมามากขนาดไหน
คำให้การยาวเหยียดของ บริตนีย์ ครั้งนี้ ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อด้วย เหล่าเพื่อนพ้องศิลปินที่รู้ข่าวจึงแห่กันให้กำลังใจเธอผ่านโซเชียลกันอย่างอึกทึกครึกโครม เช่น จัสติน ทิมเบอร์เลก นักร้องดังซึ่งเป็นอดีตคนรัก บอกว่าไม่ควรมีผู้หญิงคนไหนถูกจำกัดกรอบในชีวิตของเธอเองแบบนี้ ส่วน มารายห์ แครีย์ บอกว่าขอให้เธอเข้มแข็งไว้ ขณะที่ด้านหน้าศาลก็มีเหล่าแฟนคลับจำนวนมากมาให้กำลังใจนักร้องคนโปรดพร้อมถือป้าย #ปล่อยบริตนีย์เป็นอิสระ (#FREEBRITNEY) และออกไปจากชีวิตบริตนีย์ซะ แฟนเพลงบางคนถึงกับออกปากว่า สิ่งที่เธอพูดมันทำให้หัวใจเขาแหลกสลาย เพราะไม่คิดว่าเรื่องเลวร้ายขนาดนี้จะเกิดขึ้นจริง แต่ก็ดีใจที่ในที่สุดเธอก็กล้าพูดความจริงออกมา
ขณะที่เจมี พ่อของบริตนีย์ ออกมาระบุก่อนหน้านี้หลายครั้ง ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมีจุดประสงค์ก็เพราะห่วงใยลูกสาวอย่างแท้จริง และทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของบริตนีย์อย่างแท้จริง อย่างไรก็ดีบริตนีย์ ไม่ได้พูดคุยกับผู้เป็นพ่อมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว และเธอได้ต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อเรียกร้องให้ศาลยกเลิกคำสั่งให้พ่อพิทักษ์ชีวิตเธอที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2010
เรื่องนี้จะจบลงอย่างไรยังไม่มีใครรู้แต่การที่บริตนีย์ได้เปิดอกแบบหมดเปลือกคงทำให้แฟนๆ และผู้คนทั่วไป เข้าใจถึงหัวอกศิลปินดับระดับซูเปอร์สตาร์ ที่แทบไม่เคยได้ใช้ชีวิตของตัวเอง ได้ดียิ่งขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี