ปีที่แล้วหลายประเทศและดินแดนในเอเชีย-แปซิฟิกได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ชนะ สามารถรับมือกับโควิด-19 ได้ดี ด้วยการรับมือเชิงรุก เช่น การล็อกดาวน์ที่เข้มงวด การติดตามและการติดต่อผู้ติดเชื้อหรือผู้มีความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ จนมีอีกหลายประเทศนำไปปฏิบัติตาม
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ เวียดนาม ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้และไต้หวัน คือประเทศและดินแดนที่เคยได้รับคำชมว่าสามารถรับมือกับโควิดได้ดี แต่ขณะนี้เริ่มถูกวิจารณ์ ว่ารัฐบาลของพวกเขาไม่มีแผนรับมือกับโควิด-19 ที่แข็งแกร่งพอสำหรับเปิดประเทศอีกครั้ง
วิธีที่พวกเขาเคยใช้ เช่น การปิดพรมแดน หรือ การล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด ถูกวิจารณ์ว่าแม้จะได้ผลดี แต่พวกเขาไม่อาจจะซ่อนตัวจากโลกนี้ได้ตลอดไป
ในปีที่สองของการแพร่ระบาด พวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาใหม่ เช่น โควิดกลายพันธุ์ที่แข็งแกร่งกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม บวกกับการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ อัตราการติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในไต้หวันและเวียดนาม ที่ขณะนี้กำลังเผชิญกับคลื่นโควิดอย่างเต็มรูปแบบ
การผ่อนคลายมาตรการกักตัวให้กับนักบินสายการบินพาณิชย์เพียงเล็กน้อยของไต้หวัน ทำให้เกิดคลัสเตอร์อย่างรวดเร็ว ส่วนที่เวียดนามไวรัสกลายพันธุ์ทำให้เกิดคลัสเตอร์ใหม่หลายแห่ง บวกกับการรวมตัวของคนในชุมชนก็ยิ่งทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นทำสถิติใหม่อีกครั้งช่วงหลายเดือนก่อนสร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชน โดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่หลายฝ่ายกำลังกังวลเกี่ยวกับโอลิมปิกเกมส์ที่จะมีขึ้นในเดือนหน้าว่าอาจทำให้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น
ขณะที่สิงคโปร์ ฮ่องกงและออสเตรเลีย ที่แม้พบอัตราการติดเชื้อไม่มากนัก แต่ก็กระตุ้นให้ทางการมีปฏิกิริยาตอบโต้ทันที ออสเตรเลียสั่งปิดเมืองเมลเบิร์น
2 สัปดาห์ ขณะที่สิงคโปร์สั่งล็อกดาวน์บางพื้นที่ 4 สัปดาห์
แม้การระบาดในประเทศและดินแดนดังกล่าวจะถูกควบคุมได้แล้ว ด้วยมาตรการต่างๆ แต่หลายประเทศกลับไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของการฉีดวัคซีนต้านโควิดให้กับประชาชน
BBC วิเคราะห์ว่า หลายประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 และสามารถซื้อวัคซีนได้มีความคืบหน้าของโครงการฉีดวัคซีนต้านโควิดอย่างรวดเร็ว ขณะที่ประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อต่ำ รัฐบาลไม่ค่อยจะกระตือรือร้นในการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้กับพลเมืองของตนนัก เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรปที่มีอัตราผู้ติดเชื้อสูง ที่ประชากรได้รับวัคซีนแล้วประมาณครึ่งหนึ่งหรือเกินครึ่งของประชากรทั้งหมด แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศและดินแดนที่ประสบความสำเร็จในการรับมือกับโควิด-19 ในเอเชียแปซิฟิก ที่เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ได้รับวัคซีนต้านโควิดยังต่ำกว่า 1 ใน 4ของประชากรทั้งหมด ทั้งที่เป็นประเทศและดินแดนที่ร่ำรวย เช่นออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และเกาะไต้หวัน ซึ่งน่าจะมีความสามารถในการจัดซื้อจัดหาวัคซีนในระดับเดียวกับยุโรปและสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ความลังเลใจของประชาชน เช่น ในฮ่องกงหรือไต้หวัน ที่ไม่ไว้วางใจหน่วยงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยในการฉีดวัคซีน ก็ทำให้ความคืบหน้าโครงการฉีดวัคซีนช้าลงไปอีก
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า เนื่องจากว่าโควิดแพร่ระบาดไปทั่วโลก การที่จะเปิดได้อย่างแท้จริง จะต้องละทิ้งแนวคิด “โควิดเป็นศูนย์” ซึ่งไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง และอยู่กับไวรัสนี้ให้ได้ ส่วนทางออกที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ หนึ่งในนั้นก็คือการเร่งฉีดวัคซีนต้านโควิดให้กับประชาชน
แต่ปัญหาก็คือ ขณะนี้หลายประเทศยังไม่สามารถทำได้ และไม่รู้จะแก้สถานการณ์ได้เมื่อไหร่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี