พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯ ทรงเปิดตึก “นราธิปพงศ์ประพันธ์-สุพิณ” ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พ.ศ.2514
พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงมีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณประสูติเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2434ที่จังหวัดพระนคร เป็นโอรสองค์ที่ 5ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ในรัชกาลที่ 4 และหม่อมหลวงต่วนศรี วรวรรณ ในราชสกุล “มนตรีกุล” ซึ่งสืบสายมาจาก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เพิ่มคำว่า “วรรณ” ข้างหน้าพระนามเดิม มาเป็น “วรรณไวทยากร” แปลว่า “หมอหนังสือ” และเจ้าของพระนามนี้ รับสั่งว่า “ตั้งแต่นั้น ฉันก็พยายามที่จะบำเพ็ญตนให้สมกับชื่อที่ได้รับพระราชทาน”
เสด็จในกรมฯ ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าพิบูลเบ็ญจางค์ กิติยากร มีโอรสคือ หม่อมราชวงศ์วิบุลเกียรติ วรวรรณ (ถึงแก่อนิจกรรม) สมรสกับ หม่อมราชวงศ์ทิพภากร อาภากร (ถึงแก่อนิจกรรม) มีบุตรและธิดา คือ หม่อมหลวงเกียรติกร วรวรรณ(ถึงแก่กรรม), หม่อมหลวงสุทธิ์ธรทิพย์วรวรรณ มีบุตรและธิดา คือ นายชวิศอ่องจริต และ นางสาวฐิตาภา วรวรรณ ต่อมาเสด็จในกรมฯ ทรงเสกสมรสกับหม่อมพร้อยสุพิณ บุนนาค และมีธิดา คือ ท่านผู้หญิงวิวรรณ วรวรรณ เศรษฐบุตร คู่ชีวิตคือ นายจิตริก เศรษฐบุตร (อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน) โดย ท่านผู้หญิงวิวรรณ วรวรรณ เศรษฐบุตร มีธิดาคือ เด็กหญิงวิญวรรณ ไกรฤกษ์ (จากการสมรสครั้งแรก) ถึงแก่กรรม
เสด็จในกรมฯ ทรงมีน้ำพระทัยอันประเสริฐกับทุกๆ คนทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยพระองค์ท่านทรงมีพระอุปนิสัยสุภาพอ่อนน้อมไม่ถือพระองค์ ทรงรักห่วงใยครอบครัวอย่างลึกซึ้งและทรงดูแลทุกข์สุขญาติพี่น้องอย่างทั่วถึงตลอดพระชนม์ชีพ ความรักความผูกพันที่เสด็จในกรมฯ ทรงมีต่อครอบครัวเป็นที่ประจักษ์ในบันทึกของพระองค์ท่านหลังจากทรงรอดพ้นจากอันตรายอย่างปาฏิหาริย์เมื่อเครื่องบินที่ท่านประทับเดินทางกลับจากการปฏิบัติราชการที่ประเทศญี่ปุ่นถูกพายุพัดหนักเกือบตกทะเล ท่านได้ทรงบันทึกเป็นโคลงตอนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงน้ำพระทัยห่วงใยที่ทรงมีต่อชายาและธิดาของพระองค์ท่านอย่างที่สุด
การถวายความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดพระชนม์ชีพ เสด็จในกรมฯ ได้ถวายความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้ เสด็จในกรมฯ ได้ถวายงานสนองพระบรมราชโองการฯ ด้วยความตั้งพระทัยแน่วแน่ในการทรงใช้พระปรีชาสามารถให้งานสัมฤทธิผลอย่างดีที่สุด เช่น ในการเสด็จเป็นผู้แทนพระองค์ในงานมหกรรมโลกเอกซ์โป 70 ณ เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ใน พ.ศ.2513 และในโอกาสที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เสด็จในกรมฯเป็นประธานสมัชชาแห่งชาติ (สภาสนามม้า)เพื่อเลือกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อ พ.ศ.2516 เป็นการแก้ไขสถานการณ์วิกฤตในชาติหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ
พระประวัติด้านการศึกษา (ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ) พ.ศ.2443 ทรงศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบ พ.ศ.2445 ทรงศึกษาในโรงเรียนราชวิทยาลัย สอบไล่ได้ชั้นมัธยมพิเศษ เป็นปีที่ 1 ได้รับพระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษเมื่อพระชันษา 14 ปีพ.ศ.2448 ทรงศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่ประเทศอังกฤษ ณ โรงเรียน Marlborough College เป็นเวลา 4 ปี สำเร็จวิชา ModernSide (วิชาภาษาปัจจุบัน) และ Classical Side (วิชาภาษาโบราณ คือ ภาษากรีก) ทรงได้รับรางวัลถึง 17 รางวัล
เสด็จในกรมฯ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหม่อมพร้อยสุพิณ ม.ล.เกียรติกรวรวรรณ เฝ้าฯรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการฉลองพระชันษา 80 ปี ของเสด็จในกรมฯ พ.ศ.2514
พ.ศ.2453 ทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดใน Balliol College ทรงได้รับปริญญา B.A. เกียรตินิยมทางประวัติศาสตร์ พ.ศ.2458 ได้เสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ Ecole Libre des Sciences Politiques ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสในสาขาวิชาการทูตและทรงสอบไล่ได้รับประกาศนียบัตรวิชาการทูตรางวัลที่ 1 พ.ศ.2470 ได้เสด็จกลับมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ทรงได้รับปริญญาโท และด้วยพระปรีชาสามารถทางด้านวิชาการ เสด็จในกรมฯ ทรงได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์อีกหลายสาขาวิชาและจากหลายสถาบัน อาทิ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์อักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์รัฐศาสตร์ (การทูต)มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, วารสารศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางกฎหมายแพ่ง มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด,ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางกฎหมาย มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย, มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก, มหาวิทยาลัยฟาร์เล ติกกินสัน, และปริญญาบัตร (กิตติมศักดิ์) วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
ได้เป็นที่ประจักษ์กันโดยทั่วไปว่า เสด็จในกรมฯทรงเป็นปราชญ์แห่งสยาม และทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติเป็นอเนกอนันต์ พระองค์ทรงรับใช้บ้านเมืองตลอดมาทุกสมัยโดยมิได้คำนึงถึงว่าบุคคลใดหรือคณะใดเป็นผู้บริหารประเทศ ทรงมีแต่ความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะทรงรับใช้ชาติตามพระสติปัญญา อุตสาหะและซื่อสัตย์สุจริตเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
ทรงฉายร่วมกับธิดา ท่านผู้หญิงวิวรรณ วรวรรณ เศรษฐบุตร เมื่อทรงดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาสหประชาชาติ พ.ศ.2499 โดย ท่านผู้หญิงวิวรรณ อดีตข้าราชการ กระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่เลขานุการส่วนพระองค์
ผลงานด้านการต่างประเทศ ทรงทำหน้าที่เลขานุการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และทรงทำหน้าที่เลขานุการคณะทูตไทยในที่ประชุมสันติภาพหลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ.2460)ทรงดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองบัญชาการ กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ทรงเป็นเสนาบดี (พ.ศ.2463) ทรงดำรงตำแหน่งปลัดทูลฉลอง กระทรวงการต่างประเทศ (พ.ศ.2467-2469) ถึงแม้เสด็จในกรมฯได้ทรงดำรงตำแหน่งนี้เพียง 2 ปี แต่ก็ได้ทรงมีโอกาสปฏิบัติราชการอันสำคัญ โดยได้ทรงร่วมในการเจรจาเพื่อแก้ไข “สัญญาไม่เสมอภาค”กับบรรดาประเทศในยุโรป ซึ่งเป็นพระภารกิจที่นำความสำเร็จเป็นคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติและยังทรงเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนในการเจรจากับฝรั่งเศสเพื่อทำอนุสัญญาว่าด้วยอินโดจีนเกี่ยวกับเขตแดนในแม่น้ำโขงโดยตกลงให้มีคณะกรรมการร่วมกันคอยกำกับดูแล
จากตำแหน่งปลัดทูลฉลอง เสด็จในกรมฯได้เสด็จไปรับราชการในต่างประเทศ นับเป็นก้าวสำคัญในการทรงงานด้วยพระปรีชาสามารถในตำแหน่งอัครราชทูตไทยประจำพระราชสำนักเซนต์เจมส์ เนเธอร์แลนด์และเบลเยียม ทรงเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำสมัชชาสันนิบาตชาติ ซึ่งพระองค์ทรงได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการระเบียบวาระแห่งสมัชชาสันนิบาติชาติรวมทั้งทรงเป็นรองประธานและผู้แทนประจำคณะกรรมการอื่นๆ ด้วย (พ.ศ.2469) ทรงเป็นตุลาการในศาลอนุญาโตตุลาการ ณ กรุงเฮก (พ.ศ.2477-2478)
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯทรงเป็นองค์ประธานการประชุมเรื่อง “ปัญหาการใช้คำภาษาไทย” ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เสด็จในกรมฯ ร่วมอภิปรายในงานนี้ เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2505 ซึ่งต่อมาได้กำหนดให้เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติของทุกปี
ในปี 2480 ประเทศไทยได้มีการแก้ไขสนธิสัญญากับนานาประเทศ เสด็จในกรมฯทรงเป็นผู้แทนในการเจรจาทำสนธิสัญญากับนานาประเทศจนบรรลุผลสมบูรณ์ ได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลาแสดงถึงเป็นผู้มีความสำเร็จในการปฏิบัติราชการแผ่นดิน อีกทั้งทรงเป็นประธานผู้แทนคณะทูตไทย เจรจากำหนดเขตแดนระหว่างไทยกันอินโดจีนของฝรั่งเศส ณ ประเทศญี่ปุ่น ทรงได้รับมอบอำนาจให้ทรงลงพระนามในสัญญาได้ พระองค์ทรงทำหน้าที่อันสำคัญยิ่งของชาติอีกวาระหนึ่ง (พ.ศ.2484) ต่อมาในปีพ.ศ.2486 ในช่วงระหว่างมหาสงครามเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2) ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนของนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีของชาติต่างๆ ในมหาเอเชีย ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเสด็จในกรมฯทรงทำหน้าที่ได้อย่างดียิ่ง
งานสำคัญของชาติ ทรงเจรจาให้ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติเป็นผลสำเร็จ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2489 หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงรัฐบาลไทยได้แต่งตั้งให้เสด็จในกรมฯ เป็นผู้แทนไปเจรจาให้ประเทศไทย ได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ซึ่งก็เป็นเรื่องยากเนื่องจากมีบางประเทศมีท่าทีจะยับยั้ง เช่น ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต แต่ด้วยกุศโลบายของเสด็จในกรมฯ ในการเจรจากับผู้แทนฝรั่งเศสและกับนายโกรมิโก ผู้แทนสหภาพโซเวียต โดยทรงทำหนังสือยืนยันว่าจะมีการแลกเปลี่ยนทูตระหว่างกันโดยเร็วเป็นที่พอใจของนายโกรมิโก จนต้องยอมยกเลิกคัดค้านการเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติของไทย ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดขึ้นได้จากพระอัจฉริยภาพของเสด็จในกรมฯ ในการใช้กลวิธีในการเจรจาอย่างมีปัญญาเฉียบแหลมรับมือทันท่วงทีกับสถานการณ์ที่ยากลำบากโดยเฉพาะกับผู้แทนประเทศมหาอำนาจซึ่งเป็นฝ่ายชนะสงคราม ประเทศไทยจึงได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติก่อนหลายประเทศที่ยังเข้าไม่ได้ในปีนั้น ปีนี้นับเป็นวาระสำคัญที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติครบ 75 ปีในวันที่ 6 ธันวาคม 2564
ทรงดำรงตำแหน่งอัครราชทูตประจำสำนักเซนต์เจมส์ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทรงฉายเมื่อ 2 ธ.ค. 2470
ทรงเป็นผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ ในปีพ.ศ.2490 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เสด็จในกรมฯเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน และผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ พระองค์ท่านทรงมีบทบาทสำคัญยิ่ง ทรงได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการถึง 4 ชุด จากคณะกรรมการทั้งหมด 7 ชุดคือ คณะกรรมการทรัสตี คณะกรรมการเศรษฐกิจ คณะกรรมการกฎหมาย และคณะกรรมการการเมืองพิเศษ ในระยะที่ทรงเป็นประธานคณะกรรมการการเมืองพิเศษ มีเรื่องเล่าเป็นเกร็ดที่น่าสนใจคือในการประชุมเกี่ยวกับการลดอาวุธ มีการโต้แย้งกันอย่างรุนแรงโดยนายวิชินสกี้ผู้แทนสหภาพโซเวียตกล่าวว่า “Prince Wanagrees with me. He is smiling” ทำให้เสด็จในกรมฯ ต้องทรงรีบชี้แจงที่ประชุมให้ระมัดระวังการแปลความหมายจากการที่พระองค์แย้มพระสรวลว่าเป็นการเห็นชอบกับข้อเสนอของนายวิชินสกี้เพราะปกติท่านก็ยิ้มแย้มอยู่เสมอ วาทะคำคมพร้อมอารมณ์ขันของพระองค์ท่านทำให้บรรยากาศในที่ประชุมหายตึงเครียดลง พระปฏิภาณอันเฉียบแหลมและพระปรีชาสามารถของเสด็จในกรมฯในการทรงปฏิบัติหน้าที่ประธานในแต่ละคณะกรรมการจึงนำไปสู่การยอมรับและพอใจในผลงานของพระองค์ท่านจากผู้แทนประเทศสมาชิก ที่ประชุมสมัชชาจึงได้ลงมติเป็นเอกฉันท์เลือกเสด็จในกรมฯเป็นประธานสมัชชาในเวลาต่อมา
ทรงเป็นประธานสมัชชาสหประชาชาติ พ.ศ.2499-2500 จากผลงานที่เสด็จในกรมฯได้ทรงปฏิบัติเป็นผลสำเร็จอย่างดีเยี่ยมตั้งแต่ทรงดำรงตำแหน่งผู้แทนถาวรไทยในสหประชาชาติ พระองค์ท่านจึงทรงได้รับเลือกให้เป็นประธานสมัชชาสหประชาชาติในสมัยประชุมครั้งที่ 11 โดยได้ทรงรับเลือกด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ เสด็จในกรมฯได้ทรงปฏิบัติหน้าที่นี้ด้วยพระปรีชาสามารถในการสร้างสันติภาพให้แก่ชาวโลก โดยทรงควบคุมการประชุมสมัชชาเพื่อแก้ไขปัญหาที่สหภาพโซเวียตเข้าไปยึดครองประเทศฮังการีและอีกปัญหาที่อังกฤษ อิสราเอลและฝรั่งเศสเข้ายึดครองคลองสุเอซซึ่งผลปรากฏว่าที่ประชุมมีมติให้ประเทศที่เข้ายึดครองถอนกำลังออกไปพร้อมทั้งได้เสนอให้มีการจัดตั้งกองกำลังฉุกเฉินของสหประชาชาติเพื่อรักษาสันติภาพเป็นครั้งแรก
เสด็จในกรมฯ และชายา หม่อมพร้อยสุพิณ วรวรรณ ณ อยุธยา
เสด็จในกรมฯได้ทรงปฏิบัติพระภารกิจในตำแหน่งประธานสมัชชาสหประชาชาติสมัยที่ 11 ด้วยความสำเร็จเป็นเกียรติประวัติอันงดงามสำหรับประเทศไทยในสายตาประชาคมโลกและเป็นที่น่าปลื้มปีติอย่างยิ่งที่ผู้แทนประเทศสมาชิกในที่ประชุมทุกท่านได้ยืนขึ้นปรบมือให้พระองค์ท่านเป็นเวลานานในโอกาสที่พระองค์ท่านทรงอำลาจากตำแหน่งในวันที่ทรงครบวาระหน้าที่ประธานสมัชชาฯ เป็นภาพที่น่าภาคภูมิใจสำหรับคนไทยและประเทศไทยซึ่งจนถึงปัจจุบันยังไม่มีผู้แทนไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้
เสด็จในกรมฯ ทรงได้พบและร่วมงานกับ โจ เอน ไล ในการประชุมเรื่องหาทางตกลงเกี่ยวกับปัญหาเกาหลีที่เจนีวา เมื่อพ.ศ.2497 ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงเป็นประธานร่วมกับเซอร์แอนโทนี่ อีเดน รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ และนายโมโลตอฟรัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพโซเวียต การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่นด้วยความเข้าใจอันดีและมีไมตรีฉันทมิตรต่อกัน โดย นายโจ เอน ไล ได้เข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ด้วย ต่อมาในพ.ศ.2498 ได้มีการประชุมเอเชีย-แอฟริกา ที่บันดุง ประเทศอินโดนีเซียเสด็จในกรมฯทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และทรงได้รับเลือกจากที่ประชุมให้เป็นผู้เสนอรายงาน Rapporteur จึงได้ร่วมงานกับ นายโจ เอน ไลอีกครั้งหนึ่ง นายโจ เอน ไล ซึ่งเป็นประธานร่วมกับ นายนัสเซอร์ ประธานาธิบดีแห่งอียิปต์ ได้ให้ความไว้วางใจในพระปรีชาสามารถของเสด็จในกรมฯ โดยเสนอให้พระองค์ท่านเป็นกรรมการร่างข้อตกลงเพื่อเสนอให้เป็นมติของที่ประชุมสรุปได้ว่า ประเทศเอเชีย-แอฟริกา จะร่วมมือกันพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับอธิปไตยแห่งชาติ และลัทธิเชื้อชาติรวมทั้งส่งเสริมสันติภาพกับความร่วมมือแห่งโลก ในระหว่างการประชุมนายโจ เอน ไล ได้แสดงอัธยาศัยไมตรีอันดีและให้เกียรติกับเสด็จในกรมฯ โดยเชิญไปเลี้ยงอาหารค่ำและถวายของที่ระลึก ในปีต่อๆ มาเมื่อมีผู้แทนไทยไปประเทศจีน เช่น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และบุคคลสำคัญอื่นๆ นายโจ เอน ไล ได้กล่าวถึงเสด็จในกรมฯและส่งคำระลึกถึงมาถึงพระองค์ท่านอยู่เสมอ
ม.ร.ว.วิบุลเกียรติ วรวรรณ (โอรส) ถึงแก่อนิจกรรม, ท่านผู้หญิงวิวรรณ วรวรรณ เศรษฐบุตร (ธิดา), หม่อมพร้อยสุพิณ
เสด็จในกรมฯ เมื่อทรงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานการประชุมคณะมนตรี ส.ป.อ. (ซีโต้) พ.ศ.2497 ครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมเซอร์แอนโทนี่ อีเดน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ เป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมได้กล่าวถึงการทำหน้าที่ของเสด็จในกรมฯว่า ทรงใช้ถ้อยคำสร้างไมตรีด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ “แม้แต่นกที่เข้ามาเกาะอยู่ในโดมยังหยุดร้องเพื่อฟังพระสุรเสียงเวลารับสั่ง”
เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาใหญ่ สหประชาชาติ พ.ศ.2495-2500
พระเกียรติคุณ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์
ผลงานด้านการเมือง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเสด็จในกรมฯเป็น “องคมนตรี” ปี พ.ศ. 2465 รับปรึกษาราชการในส่วนพระองค์ปีพ.ศ.2477-2478 ทรงเป็นกรรมการในคณะกรรมาธิการหลายคณะ ทั้งทางฝ่ายรัฐบาลและทางฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรปีพ.ศ.2502 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีและต่อมาในสมัยที่จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ทรงเป็นรองประธานที่ได้รับมอบอำนาจจากนายกรัฐมนตรีให้ทำหน้าที่แทนในคณะกรรมการด้านต่างๆ ได้แก่ (1) คณะกรรมการก.พ. (2) คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ (3) คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ และ (4) คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ
ด้วยพระปรีชาสามารถในความรอบรู้เรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ เสด็จในกรมฯทรงได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ในปี 2511ต่อมาปี 2516 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯเป็นประธานสมัชชาแห่งชาติ หรือ “สภาสนามม้า” เพื่อให้มีการแต่งตั้งบุคคลเข้าไปทำหน้าที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในการดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเป็นงานสำคัญงานสุดท้ายในพระชนม์ชีพของเสด็จในกรมฯ
ผลงานด้านการศึกษา ทรงเป็นศาสตราจารย์ในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงสอนภาษาอังกฤษ และภาษาไทย (พ.ศ.2473) และทรงเป็นกรรมการสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2502) ทรงเป็นศาสตราจารย์(กฎหมายระหว่างประเทศ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (พ.ศ.2477) ทรงเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2505) ทรงเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (พ.ศ.2506-2514)ในขณะทรงดำรงตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัยและอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทรงจัดตั้งแผนกวารสารศาสตร์ ซึ่งต่อมาเป็นคณะวารสารศาสตร์มี ผาณิต พูนศิริวงศ์ เป็นนักศึกษารุ่นแรก นอกจากนี้ ยังได้ทรงจัดตั้งโครงการไทยคดีศึกษาและคณะรัฐประศาสนศาสตร์ โดยทรงมีบทบาทในการพัฒนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปสู่ความสมบูรณ์แบบในด้านวิชาการสังคมศาสตร์และการสื่อสารมวลชน พร้อมทั้งทรงสนับสนุนให้คณาจารย์ในมหาวิทยาลัยมีการประสานงานกับชุมชนวิชาการภายนอกมหาวิทยาลัยและประสานสัมพันธ์อันดีกับนักศึกษาทุกคณะในมหาวิทยาลัย
ตลอดระยะเวลาที่ทรงดำรงตำแหน่งอธิการบดี เสด็จในกรมฯได้ทรงเฝ้าฯรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ในหลายโอกาส พร้อมทั้งทรงให้การต้อนรับพระราชอาคันตุกะและผู้นำจากหลายประเทศ เช่น พระราชาธิบดีแห่งเอธิโอเปีย ประธานาธิบดีแห่งประเทศออสเตรีย และนายกรัฐมนตรีประเทศญี่ปุ่น
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธาน งานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 27 เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2510 ณ สนามศุภชลาศัยโดยมี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เฝ้าฯรับเสด็จ
ทรงเป็นประธานคณะกรรมการก่อตั้งสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) เพื่อเป็นการแสดงมุทิตาจิตต่อพระองค์ท่าน ทางสถาบันฯได้สร้างอาคารนราธิปพงศ์ประพันธ์ โดยมีพระรูปของพระองค์ท่านประดิษฐานอยู่ด้านหน้าอาคารเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเทิดพระเกียรติและรำลึกถึงพระองค์ท่านที่ทรงดำเนินงานในการก่อตั้งสถาบันนี้จนเป็นผลสำเร็จ ทรงเป็นประธานคณะกรรมการก่อตั้งมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ประทานคำแนะนำต่างๆ พร้อมทั้งเชิญให้ผู้แทนมหาวิทยาลัยฟาร์เลย์ ดิกกินสัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มาให้ความร่วมมือในการวางหลักสูตร พระองค์ท่านได้ทรงดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยกรุงเทพจนสิ้นพระชนม์
เสด็จในกรมฯ ทรงเป็นปราชญ์ราชบัณฑิตทางภาษาและวรรณคดี รวมทั้งด้านการบัญญัติศัพท์ ทรงเป็น “พระบิดาแห่งการบัญญัติศัพท์”ทรงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นปัจจัยในการจรรโลงชาติและวัฒนธรรมไทย พระองค์ทรงมีวิสัยทัศน์อันยาวไกลและทรงเห็นว่า “คนไทยต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจในภาษาไทยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเวลาที่สังคมเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่กำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและมีการใช้ศัพท์ใหม่ๆ แม้เสด็จในกรมฯทรงได้ตระหนักในคุณค่าของภาษาต่างประเทศแต่สำหรับคนไทยก็จะต้องเรียนภาษาไทยให้ได้ดียิ่งขึ้น พระองค์ทรงริเริ่มภารกิจด้าน “การบัญญัติศัพท์” ขึ้นเพื่อคนไทยได้มีศัพท์บัญญัติภาษาไทยไว้ใช้แทนการใช้คำฝรั่งทับศัพท์ (ซึ่งอาจจะมีการตีความหมายแตกต่างกันไปได้) กอปรกับทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านภาษาหลายภาษาและทรงมีความรอบรู้ลึกซึ้งถึงนิรุกติศาสตร์ภาษานั้นๆ ซึ่งได้ทรงนำมาประกอบใช้ในการทรงคิดค้นบัญญัติศัพท์ภาษาไทยหรือที่เรียกกันว่า “ศัพท์พระองค์วรรณ” เป็นจำนวนมากหมุนเวียนใช้กันอยู่จนทุกวันนี้ เช่นคำว่า ปฏิรูป, ปฏิวัติ, รัฐธรรมนูญ, ประชาธิปไตย, นวัตกรรม, สื่อสารมวลชน, มลพิษ, มลภาวะ,วัฒนธรรม, ระบบ, ระบอบ เป็นต้น
นอกจากนี้ การส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทย เป็นอีกงานหนึ่งที่เสด็จในกรมฯทรงมีบทบาทคือ ทรงเป็นกรรมการบัญญัติศัพท์และเป็นกรรมการชุมนุมภาษาไทยของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้เสด็จพระราชดำเนินไปในการประชุมของชุมนุมภาษาไทยเพื่อ “พระราชทานกระแสพระราชดำริเรื่อง “ปัญหาการใช้คำไทย” เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2505 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เสด็จในกรมฯ ทรงร่วมในการอภิปรายในที่ประชุม นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และเป็นวันสำคัญยิ่งของชาวไทยที่ได้รับพระราชทานพระบรมราโชวาทที่เป็นหลักในการใช้ภาษาไทย นับจากวันนั้นทางราชการได้กำหนดให้วันที่ 29 กรกฎาคม เป็น “วันภาษาไทยแห่งชาติ” มาจนถึงทุกวันนี้ และด้วยพระอัจฉริยภาพในด้านภาษาและสังคมศาสตร์ เสด็จในกรมฯทรงได้รับเลือกให้เป็นนายกราชบัณฑิตยสถาน ถึง 3 สมัยคือ สมัยที่หนึ่ง พ.ศ.2477-2490 สมัยที่สอง พ.ศ.2512-2516 และสมัยที่สาม พ.ศ.2516-2518
เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติครบ 125 ปี (เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2559) ของเสด็จในกรมฯ ที่ประชุมราชบัณฑิตยสภาได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเทิดพระเกียรติพระองค์ทรงเป็น“พระบิดาแห่งการบัญญัติศัพท์” และในโอกาสดังกล่าวได้จัดทำหนังสือ “ศัพท์บัญญัติพระองค์วรรณฯ” โดยมีทายาทเสด็จในกรมฯท่านผู้หญิงวิวรรณ เป็นที่ปรึกษาในการทำหนังสือนี้
เสด็จในกรมฯ กับพระญาติราชสกุลวรวรรณ ร่วมกันบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม
ด้านวรรรณคดี นอกจากงานในด้านภาษาศาสตร์และการบัญญัติศัพท์ เสด็จในกรมฯทรงสนพระทัยอย่างยิ่งในงานวรรณคดี ทรงเป็นนักปราชญ์ นักแปลและนักวรรณคดี ได้ทรงค้นคว้าและทรงนิพนธ์หนังสือเกี่ยวกับวรรณคดีไว้หลายเล่ม เป็นตำราให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษากันต่อมา เช่น พระนิพนธ์ชื่อ “วรรณคดีบริสุทธิ์” “วรรณคดีวิพากษ์” และ “วิทยาวรรณกรรม” พระองค์ท่านทรงแปลบทวรรณคดีที่มีชื่อเสียงจากภาษาอังกฤษเป็นโคลงกลอนภาษาไทยได้อย่างไพเราะยิ่งโดยแปลความหมายให้ใกล้กันอย่างที่สุดและมีความงามในอารมณ์ที่คล้ายคลึงกัน เช่น ได้ทรงแปล “Ode on a Grecian Urn” เป็นภาษาไทยว่า โศลกโกศสมัยกรีก เป็นโคลงสี่สุภาพที่ไพเราะนับเป็นวรรณคดีชิ้นเอกที่พระองค์ท่านได้ทรงนิพนธ์ไว้
เสด็จในกรมฯ ทรงเป็นปรมาจารย์ในด้านภาษาศาสตร์และวรรณคดี ผลงานของพระองค์ท่านในพระนิพนธ์อันทรงคุณค่าเกี่ยวกับวรรณคดี ทั้งในบทกวีโคลง ฉันท์ภาษาไทยและที่แปลจากภาษาต่างประเทศตลอดจนงานที่ทรงค้นคว้าวิจัยที่ทรงบรรยายในโอกาสต่างๆ เป็นคุณูปการส่วนหนึ่งของพระองค์ท่านที่ทำให้วรรณคดีมีความหมายและความสำคัญลึกซึ้งยิ่งขึ้นในวัฒนธรรมไทยหลังจากสิ้นพระชนม์ไปหลายปีแล้ว เสด็จในกรมฯ ยังทรงได้รับการรำลึกถึงและทรงได้รับรางวัลเกียรติยศ โดยในพ.ศ.2561 งานวรรณกรรมของพระองค์ท่านในสารคดีเรื่อง “วิทยาวรรณกรรม” ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสารคดีประเภทดีเด่นตามประกาศของกระทรวงวัฒนธรรม นับเป็นมิ่งมงคลแด่พระองค์ท่านอีกวาระหนึ่ง
ผลงานด้านสังคม ด้านสื่อ และศาสนา เสด็จในกรมฯ นอกจากจะทรงรับราชการและทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติในด้านต่างๆ แล้ว ยังได้ทรงมีภารกิจในด้านสังคม ด้านสื่อและศาสนา ดังนี้ งานด้านสังคม ทรงเป็นนายกสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษ พ.ศ.2480-2483 ทรงเป็นผู้ว่าการภาคโรตารี่ 330 ซึ่ง ในขณะนั้นมีสโมสรโรตารีต่างๆ อยู่ในสังกัดถึง 4 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไน พ.ศ.2481-พ.ศ.2489 ทรงเป็นนายกสยามสมาคมถึง 2 สมัยคือ สมัยที่หนึ่ง พ.ศ.2487-2492 และสมัยที่สองพ.ศ.2412-2419 ทรงเป็นประธานคณะกรรมการแผนกอักษรศาสตร์ มูลนิธิอานันทมหิดล, ประธานโครงการตำราสมาคมสังคมศาสตร์ และนายกสมาคมราชวิทยาลัย งานด้านสื่อ ทรงก่อตั้ง“หนังสือพิมพ์ประชาชาติ” เสด็จในกรมฯทรงให้ความสนใจในงานด้านสื่อเป็นอย่างยิ่งและทรงสนับสนุนกิจการหนังสือพิมพ์ โดยได้ทรงก่อตั้ง “หนังสือพิมพ์ประชาชาติ” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่ให้ผู้อ่านได้เข้าใจเกี่ยวกับหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในยุคที่บ้านเมืองกำลังเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจการเมืองสังคม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีคำขวัญของหนังสือพิมพ์ว่า “บำเพ็ญกรณีย์ ไมตรีจิต วิทยาคมอุดมสันติสุข” พระองค์ท่านทรงเขียนบทความในหน้า ๕ ของหนังสือพิมพ์นี้ใช้นามปากกาว่า “วรรณไว-ไขข่าว” เป็นบทความยอดนิยมของผู้อ่านในยุคนั้น เสด็จในกรมฯ ได้ทรงสร้างมาตรฐานและจรรยาบรรณของสื่อให้แก่วงการหนังสือพิมพ์ เพื่อให้เป็นสื่อสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจในข่าวสารที่ถูกต้อง โดยไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง (Fake News) พระองค์ท่านทรงเป็นต้นแบบและทรงมีวิสัยทัศน์ยาวไกลในการวางรากฐานของนักหนังสือพิมพ์ที่ดีสมกับที่ท่านได้ทรงบัญญัติศัพท์คำว่า สื่อ และคำว่าสื่อสารมวลชน ให้ได้ใช้กันจนถึงทุกวันนี้เสด็จในกรมฯ ทรงมีสปิริตของความเป็นนักหนังสือพิมพ์อย่างเต็มที่ ทรงพอพระทัยและทรงภูมิใจที่ระยะหนึ่งได้ทรงมีอาชีพนี้ซึ่งพระองค์ท่านได้รับสั่งกับบรรดานักหนังสือพิมพ์อาวุโสที่ได้ร่วมงานทำหนังสือพิมพ์ “ประชาชาติ” กับพระองค์ท่านว่าฉันก็เป็นนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งเหมือนพวกท่าน
เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิวิชาการหนังสือพิมพ์ (พ.ศ.2518-2519)
งานด้านศาสนา เสด็จในกรมฯ ทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงมีความเลื่อมใสในพระบวรศาสนาและยึดมั่นในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ทรงมีพระเมตตาต่อผู้อื่นอย่างเต็มเปี่ยมตลอดพระชนมชีพทรงเป็นกรรมการมูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัยเพื่อการเผยแพร่พุทธศาสนา (พ.ศ.2515-2519) โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นองค์ประธานมูลนิธิฯ
ทรงเป็นประธานสร้างวัดพุทธปทีป ณ กรุงลอนดอน ทรงตั้งทุนการศึกษาของพระสงฆ์สามเณรไว้ที่วัดมกุฏกษัตริยารามซึ่งทายาทยังถวายทุนนี้ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทรงดำรงตำแหน่งประธานองค์อุปถัมภ์การพัฒนาวัดสัมพันธวงศ์ โดยเฉพาะการก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ทรงตั้งทุนถวายพระสงฆ์วัดราชประดิษฐ์
งานด้านการกุศล เสด็จในกรมฯ ทรงมีน้ำพระทัยเป็นกุศลและประทานพระเมตตาให้กับบุคคลหลากหลายอาชีพตลอดพระชนม์ชีพ ทรงร่วมกับหม่อมพร้อยสุพิณฯ ในการบริจาคเงินสร้างศาลา“วรรณ-สุพิณ” ณ วัดธาตุทอง พระอารามหลวง พ.ศ.2507 โดยในปัจจุบันได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ซึ่งได้ใช้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งเป็นการสืบต่อบุญกุศลที่พระองค์ท่านได้บำเพ็ญไว้สืบไป ทรงบริจาคเงินให้สภากาชาดไทยในการสร้างตึก “นราธิปพงศ์ประพันธ์-สุพิณ” เพื่อใช้ในการรักษาคนไข้จำนวนมากด้านรังสีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และในปัจจุบันทางโรงพยาบาลได้นำเครื่องเอกซเรย์ที่มีประสิทธิภาพสูงจากตึกนราธิปฯที่ได้รับบริจาคจากทายาทเสด็จในกรมฯ ไปใช้ในแผนกรังสี อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์โดยยังคงมีการใช้ตึกนราธิปฯในการรักษาด้านรังสีวิทยา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดตึกนราธิปฯ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
ภาพหน้าโกศศพ ม.ล.ต่วนศรี วรวรรณ พระมารดา : ในภาพ เสด็จในกรมฯ กับ ท่านผู้หญิงวิวรรณ (ขวาสุด) และ ม.ล.เกียรติกร วรวรรณ นัดดา (ที่ 2 จากซ้าย) กับ ม.ล.สุทธิ์ธรทิพย์นัดดา (ที่ 2 จากขวา) และ ม.ร.ว.ทิพภากร วรวรรณ (ซ้ายสุด) สะใภ้เสด็จในกรมฯ
งานเทิดพระเกียรติเสด็จในกรมฯหลังจากสิ้นพระชนม์ ในโอกาสครบรอบ100 ปีชาตะกาลของพระองค์ท่าน สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยซึ่งได้ก่อตั้งมาครบ 30 ปี ใน พ.ศ.2544 ได้เทิดพระเกียรติเสด็จในกรมฯ ด้วยการจัดตั้งรางวัล “นราธิปพงศ์ประพันธ์” ขึ้น โดยมีการมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติให้กับนักเขียนอาวุโสดีเด่นอายุ 80 ปีขึ้นไป และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นอายุ 75 ปีขึ้นไป นับเป็นการน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่านจากวงการนักเขียนซึ่งเป็นงานที่พระองค์ท่านโปรดตลอดพระชนม์ชีพและได้ทรงมีผลงานอันมีคุณค่ายากที่จะเปรียบได้ไว้ให้คนรุ่นหลังได้อ่านสืบต่อไป
เพื่อเทิดพระเกียรติและเป็นอนุสรณ์ถวายเสด็จในกรมฯ ในฐานะที่พระองค์ทรงมีส่วนสำคัญยิ่งในการวางรากฐานการศึกษาวิจัยทางสังคมศาสตร์ขึ้นในประเทศไทย ได้มีการจัดตั้ง “ศูนย์นราธิปเพื่อการวิจัยทางสังคมศาสตร์” ขึ้นเมื่อพ.ศ.2522 ณ อาคารราชบัณฑิตยสถานหลังเดิม ดำเนินการโดยกองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ด้วยความร่วมมือของหม่อมพร้อยสุพิณและทายาทกับสมาชิกราชสกุล “วรวรรณ” ในการมอบหนังสือ พระนิพนธ์ เอกสาร ของใช้ส่วนพระองค์ตลอดจนหนังสือหายากที่มีคุณค่าให้กับศูนย์นราธิปฯ เพื่อเป็นห้องสมุดในการให้วิทยาทานกับบุคคลทั่วไป สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาฯเสด็จฯทรงเป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์นราธิปฯ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ต่อมาได้มีการปรับปรุงศูนย์นราธิปฯ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมอุปกรณ์ที่ทันสมัย ดำเนินการโดยกรมศิลปากรร่วมกับทายาทคือ ท่านผู้หญิงวิวรรณ (ธิดา) ม.ล.สุทธิธรทิพย์(นัดดา) และสมาชิกราชสกุล “วรวรรณ” การจัดตั้งศูนย์นราธิปฯนี้นับเป็นการรำลึกถึงพระเกียรติคุณของเสด็จในกรมฯ ในการทรงบำเพ็ญคุณประโยชน์ให้กับสังคมไทยนานัปการ โดยเฉพาะทรงส่งเสริมให้มีการพัฒนาและการวิจัยทางสังคมศาสตร์ ตลอดจนส่งเสริมให้มีการอ่านหนังสือทางวิชาการหลากหลายสาขามากยิ่งขึ้น
องค์การยูเนสโกประกาศพระเกียรติคุณ ด้วยพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพในการทรงงานสนองคุณประเทศชาติ โดยเฉพาะผลงานอันดีเด่นทางด้านการศึกษา ภาษา และวัฒนธรรมระดับโลก องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จึงประกาศพระเกียรติคุณเสด็จในกรมฯ ในฐานะปูชนียบุคคลสำคัญประจำปี พ.ศ.2534 ในวาระวันประสูติครบ 100 ปี
ในโอกาสวันคล้ายวันประสูติพลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ครบ 130 ปี ในวันที่ 25สิงหาคม 2564 ขอน้อมถวายความรำลึกและจารึกพระเกียรติคุณของพระองค์ท่านผู้ทรงมีพระคุณูปการในแผ่นดินตราบนิจนิรันดร์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี