การประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ นอกจากเรื่องโควิด-19 เรื่องความมั่นคงของโลกแล้ว เรื่องของสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงเป็นอีกเรื่องที่ถูกพูดถึงมากที่สุด และผู้นำโลกต่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก ก่อนที่จะเกิดการประชุมว่าด้วยเรื่องสภาวะอากาศ หรือ COP26ที่เมืองกลาสโกว์ ของสกอตแลนด์ เดือนพฤศจิกายนนี้
ปีที่แล้ว ต้องยกเลิกการประชุมว่าด้วยเรื่องสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงไป อันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ทั่วโลกจับตาการประชุม COP26 หรือที่ย่อมาจาก Conference of the Parties to the UN Convention on Climate Change เรียกสั้นๆ ง่ายๆ ว่า การประชุมว่าด้วยเรื่องสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง โดยจะ
มีผู้นำทั่วโลกเข้าร่วมประชุม ครั้งนี้เป็นการพบกันครั้งที่ 26 แล้ว โดยจะเป็นการต่อยอดข้อตกลง COP21 ที่กรุงปารีส ซึ่งนับว่าเป็นข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด แม้ว่า ผู้เชี่ยวชาญบางคนจะมองว่าหลายเรื่องยังคงไม่สำเร็จอยู่ก็ตาม
การประชุมนี้ ไม่เพียงแต่ผู้นำโลก แต่จะยังมีผู้คนจากทุกภาคส่วน ทั้งบริษัทน้ำมัน เชื้อเพลิงฟอสซิล, นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและอื่นๆ เข้าร่วม เพื่อช่วยกันกำหนดแนวทางในการปกป้องโลกใบนี้ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่ประชุม COP26 ซึ่งประกอบด้วย
- ตอกย้ำมติให้โลกร้อนขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุด ที่หลายประเทศที่ยังใช้เชื้อเพลิงฟอสซิส ยังคงต่อต้านอยู่
- กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนว่าจะให้ยกเลิกการใช้ถ่านหิน ซึ่งทุกวันนี้หลายชาติยังคงใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งก็ทำให้เกิดมลพิษขนานใหญ่สู่โลกของเรา
- จัดตั้งงบประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อหนุนเรื่องสภาวะอากาศ - โดยชาติร่ำรวยต่างเห็นพ้อง ว่าจะให้การช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการลดการปล่อยก๊าซ และรับมือกับวิกฤตต่างๆ
- เดินหน้าสู่การใช้รถไฟฟ้าทั้งหมด ภายใน 14-19 ปีข้างหน้า
- ยุติการตัดไม้ทำลายป่า ภายในสิ้นทศวรรษนี้ - เนื่องจากต้นไม้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดูดซับก๊าซคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ
- ลดการปล่อยก๊าซมีเทน - ซึ่งก๊าซนี้มีพลังความร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า
สภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง”อีกเวทีแข่งขันสำคัญระหว่าง สหรัฐฯและจีน
โดยในเวทีการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯจะให้การสนับสนุนเงินทุนเพิ่มเป็น 2 เท่า เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการรับมือวิกฤตสภาวะอากาศ 11,400 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นการกลับลำครั้งใหญ่ หลังจากที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งถอนตัวออกจากข้อตกลงโลกร้อนปารีสไป ฝ่ายประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ก็ประกาศในวันเดียวกันว่า จีนจะไม่ให้การสนับสนุนการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในต่างประเทศแล้ว แม้ว่าจีนจะยังคงเป็นประเทศที่มีการใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าสูงที่สุดในโลกก็ตาม แต่การประกาศดังกล่าว นับเป็นการประกาศสิ้นสุดการลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินมหาศาลของจีน ทั้งในแอฟริกา, ยุโรปตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประธานาธิบดีสี เคยประกาศไว้เมื่อปีที่แล้ว ว่า จีนจะปล่อยก๊าซถึงระดับสูงสุดก่อนปี 2030 และจะไปให้ถึงเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ carbon neutralityก่อนปี 2060 ส่วนประธานาธิบดีไบเดนประกาศตั้งเป้าว่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ ไม่เกินปี 2050 นี้
แม้จะดูเป็นการแข่งขันเพื่อครองความเป็นเจ้าระหว่างสองประเทศอีกครั้ง แต่ดูเหมือนการแข่งขันประเภทนี้ จะเป็นสิ่งที่ดีต่ออากาศของโลกใบนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี