คำถามหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครองเด็กนักเรียนมัธยมต้นและปลายต่างถามกันมากในขณะนี้ คือ ควรหรือต้องให้ลูกหลานฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 หรือไม่
ล่าสุด ประเทศไทยเริ่มมีวัคซีนที่ถูกอนุมัติแบบมีเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อใช้สำหรับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป คือ วัคซีนชนิด mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ เช่นเดียวกับในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และสิงคโปร์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังใช้ mRNA ของบริษัทโมเดอร์นาในเด็กด้วย อย่างเช่นในสหภาพยุโรป และออสเตรเลีย เป็นต้น ซึ่งเห็นว่าวัคซีนแบบ mRNA เป็นวัคซีนหลักที่ใช้ในเด็กอย่างแพร่หลายในขณะนี้ แต่ก็มีบางประเทศ เช่น จีน ที่ใช้วัคซีนชนิดเชื้อตาย เช่น ซิโนฟาร์มกับเด็ก
มีสิ่งหนึ่งที่หลายคนกังวลใจคือ การเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis) อันเป็นผลไม่พึงประสงค์ที่มาจากการฉีดวัคซีนประเภท mRNA จนทำให้กระทรวงสาธารณสุขหลายประเทศให้คำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีนในเด็ก โดยอาศัยแนวคิดการชั่งความเสี่ยงที่อาจจะเกิดภาวะดังกล่าวได้ กับประโยชน์ที่จะได้รับจากการฉีดวัคซีน เพราะสามารถป้องกันการเจ็บป่วยและอาการรุนแรงที่อาจทำให้เสียชีวิตเพราะติดเชื้อโควิด-19
จากข้อมูลของ US FDA มีการรายงานการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบอันเกิดจากการฉีดวัคซีนประเภท mRNA พบว่ามีอัตราการเกิดในผู้ชายอายุน้อยกว่า 40 ปีสูงกว่าผู้ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป และในผู้หญิงทุกช่วงอายุ และยังมีอัตราการเกิดสูงที่สุดในวัยรุ่น ช่วงอายุ 16-17 ปี (จากการฉีดวัคซีน 1 ล้านครั้ง มีรายงานการเกิดประมาณ 75 ราย) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะมีโอกาสเกิดมากขึ้นในกรณีที่ได้รับวัคซีนเข็มที่สอง และมักจะเกิดภายใน 7 วัน หลังจากที่ได้รับวัคซีนแล้ว
อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้ปกครองต้องพิจารณา คือแนวโน้มการติดเชื้อโควิด-19 ในเด็ก ที่พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าขณะนี้ยังไม่ได้เปิดโรงเรียนทั้งประเทศก็ตาม มีรายงานว่าเด็กเสียชีวิตสะสมในประเทศไทย ตั้งแต่
1 เมษายน-11 สิงหาคม 2564 รวม 13 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.01 และมีรายงานอีกว่าหลังจากติดเชื้อโควิด-19 ก็มีโอกาสที่จะเกิดกลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในตัวของเด็ก หรือ Multisystem Inflammatory Syndrome in Children (MIS-C) เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
อย่างไรก็ตาม เราต้องคำนึงถึงเรื่องที่เมื่อเด็กๆ ต้องไปโรงเรียนแล้วมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อน ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กอีกด้วย เพราะคงไม่มีเด็กคนใดสามารถแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนในยามที่เขาได้อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งประเด็นนี้ก็อาจจะนำมาซึ่งการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ได้อีก เพราะฉะนั้น การมีวัคซีนที่ดีสำหรับป้องกันการติดเชื้อให้พวกเขา จึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถลดการติดเชื้อในเด็กได้ และลดการการแพร่เชื้อไปสู่สังคมได้ด้วย
เนื่องจากอุบัติการณ์ของภาวะไม่พึงประสงค์ของการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบในเด็กชายและหญิงมีอัตราต่างกัน ดังนั้น ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย จึงมีข้อแนะนำคล้ายกับประเทศอื่นๆ สำหรับเด็กและวัยรุ่นชาย ดังนี้คือ เด็กและวัยรุ่นชายทุกคนที่อยู่ในช่วงอายุ 16-18 ปี และเด็กชายอายุ 12-16 ปีที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดโรคโควิด-19 จนอาจเสียชีวิตได้ ควรได้รับวัคซีนชนิด mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ 2 เข็ม โดยฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์ และมีคำแนะนำอีกว่า เด็กชายอายุ 12-16 ปี ควรได้รับวัคซีนชนิด mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ 1 เข็ม แต่ให้ชะลอการให้เข็มที่ 2 ออกไปก่อนจนกว่าจะมีข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 มีโอกาสเกิดภาวะดังกล่าวสูงกว่าเข็มแรก และสำหรับเด็กและวัยรุ่นหญิงอายุ 12-18 ปี สามารถรับวัคซีน mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ 2 เข็ม โดยห่างกัน 3 สัปดาห์
ประเทศไทยและสิงคโปร์ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับวัคซีนชนิด mRNA โดยให้
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก หรืองดทำกิจกรรมอย่างหนัก เป็นเวลา 1 สัปดาห์ หลังจากการฉีดวัคซีน
กลับไปที่คำถามว่า แล้วต้องฉีดหรือไม่ คำตอบเรื่องนี้อยู่ที่วิจารณญาณของผู้ปกครองและเด็ก และอยู่ที่ความสมัครใจด้วย แต่สิ่งที่ต้องพิจารณามากๆ คือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นและประโยชน์เด็กจะได้รับจากวัคซีน เพราะสิ่งที่เราทุกคนรู้แน่ๆ ก็คือ เราต้องอยู่เชื้อโควิด-19 ไปอีกนาน แล้วเด็กก็ต้องไปโรงเรียน และใช้ชีวิตในโรงเรียนในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน มีคำกล่าวว่าการได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงบวกกับการอนุญาตให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมตามวัยของเขาจะช่วยเพิ่มพัฒนาการของวัยได้เป็นอย่างดี
ต้องกล่าวย้ำเหมือนอย่างที่เคยเรียนมาโดยตลอดว่า อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นยา วัคซีน หรือตัวโรคก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใหม่สุดๆ สำหรับทุกคนบนโลกใบนี้ ดังนั้น จึงต้องศึกษาข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และขอย้ำทิ้งท้ายว่า การตัดสินใจในเรื่องนี้จึงขึ้นกับข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น
ผศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี