สิ้นสุดลงแล้วสำหรับการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีมติว่าด้วยประวัติศาสตร์ของพรรค พร้อมประกาศยกระดับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้เทียบเท่าประธานเหมา เจ๋อตุง และเติ้ง เสี่ยวผิงซึ่งโดยชี้ว่ามีความสำเร็จและความก้าวหน้าภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงนับตั้งแต่ที่เขาขึ้นสู่อำนาจเมื่อปี 2012 พร้อมปูทางสู่การดำรงตำแหน่งวาระที่ 3 ต่อไป
พรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้จัดการประชุมคณะกรรมการกลางเต็มคณะครั้งที่ 6 ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 4 วัน ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยมีการผ่าน “มติครั้งประวัติศาสตร์ครั้งที่ 3ที่จะยกระดับสถานะของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้เทียบเท่ากับ เหมา เจ๋อตุง หรือ“ประธานเหมา” ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ และ เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้ปฏิรูปจีนให้กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก และจะถือเป็นการล้มธรรมเนียมปฏิบัติของพรรคในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ที่กำหนดให้ประธานาธิบดีจีนสามารถดำรงตำแหน่งได้เพียงสองเทอมรวมระยะเวลา 10 ปี การประกาศมตินี้เมื่อวันพฤหัสบดี เป็นการเปิดทางสู่การครองอำนาจในสมัยที่ 3 ต่อของประธานาธิบดีสี ที่เตรียมจะครบการดำรงวาระเทอมที่ 2 ในปีหน้า
แถลงการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ที่เผยแพร่ออกมา ผู้สื่อข่าวจีนยังรายงานด้วยว่า ชื่อของประธานาธิบดีสี ถูกกล่าวถึง14 ครั้ง เมื่อเทียบกับประธานเหมา 7 ครั้งเติ้ง 5 ครั้ง ส่วนเจียง เจ๋อหมิน และ หู จิ่นเทาสองอดีตผู้นำคนก่อน ได้รับการพูดถึงชื่อเพียงคนละ 1 ครั้งเท่านั้น
แถลงการณ์รับรองมติฉบับนี้จัดทำขึ้นเป็นครั้งที่สามในประวัติศาสตร์ 100 ปีของพรรคคอมนิวนิสต์จีน ซึ่งมีเนื้อหาสาระในการสรุปความท้าทายและความสำเร็จ
ของพรรคตลอดระยะเวลา 100 ปีที่ผ่านมาตลอดจนความสำเร็จและความก้าวหน้าภายใต้การนำของปธน.สี นับตั้งแต่ที่เขาขึ้นสู่อำนาจเมื่อปี 2012 ซึ่งรวมถึงการออกมาตรการต่อฮ่องกงอย่างเคร่งครัด หลังการประท้วงใหญ่เมื่อปี 2019 ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ต้องจัดการ เทียบเท่ากับสงครามต่อต้านการคอร์รัปชั่น และปัญหามลพิษของประเทศ
การรับรองมติของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อวันพฤหัสบดี เป็นการรับรองมติครั้งที่ 3 เท่านั้นในประวัติศาสตร์ของพรรค โดย 2 ครั้งก่อนหน้านี้ มีขึ้นในยุคเหมา ในปี 1945 และ เติ้ง ในปี 1981 แต่ทั้ง 2 ครั้งนั้น เป็นการผ่านมติครั้งประวัติศาสตร์ในการตัดขาดจากอดีต มติครั้งแรก ซึ่งผ่านการอนุมัติในการประชุมเต็มคณะของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อปี 1945 ช่วยให้นายเหมา รวบอำนาจเข้าไว้กับตัวเอง เพื่อให้มีอำนาจเต็มในการประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 ส่วนมติครั้งที่ 2 มีขึ้นตอนที่เติ้ง ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในปี 1978เขาได้เสนอมติครั้งที่ 2 ในปี 1981 ซึ่งเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาด ของประธานเหมา ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมระหว่างปี 1966-1976 ซึ่งทำให้ผู้คนล้มตายไปหลายล้านคน นายเติ้งยังได้วางรากฐานการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนด้วย
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแสดงความเห็นว่า การออกมติครั้งประวัติศาสตร์นี้นับเป็นความพยายามของประธานาธิบดีสีที่จะลบล้างความพยายามในการกระจายอำนาจของเหล่าผู้นำจีนในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่เริ่มต้นในยุคของเติ้ง เสี่ยวผิง และดำเนินต่อมาเรื่อยๆ ทั้งในยุคของ เจียง เจ๋อหมิน และ หู จิ่นเทาซึ่งดูแล้ว คล้ายเป็นสัญญาณว่าจีนกำลังจะกลับสู่การปกครองแบบ “ลัทธิบูชาบุคคล” (cult of personality) ซึ่งจะทำให้ประธานาธิบดีสี กุมอำนาจไว้ได้อย่างเหนียวแน่นยิ่งขึ้น
อย่าลืมว่า นี่เป็นการประชุมกันครั้งสุดท้ายของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ชุดที่ 19 ก่อนจะถึงการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในปีหน้าซึ่งคาดว่านายสีจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 คนแรกของจีน หลังจากเมื่อปี 2561 แดนมังกรยกเลิกห้ามประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 สมัย ปูทางให้สี จิ้นผิง ครองอำนาจไปตลอดชีวิต
เจมส์ ชาร์ จาก S. Rajaratnam School of International Studies ระบุว่าเขาไม่ตกใจกับมติของพรรคในการวาดเขียนเรื่องราวให้ “สี จิ้นผิง” เป็นผู้สืบทอดและหัวหน้าผู้ปฏิวัติพรรคคอมมิวนิสต์ด้วยการสร้างจีนให้แข็งแกร่งขึ้น หลังจากที่ เหมา และเติ้ง ได้ช่วยให้จีนยืนหยัดและร่ำรวย..สิ่งที่ชัดเจนในแถลงการณ์คือ “สี” กำลังสร้างตัวเขาเองให้เป็น “ราชาแห่งปราชญ์” (philosopher king)
ที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของประธานาธิบดีสี ถูกนำเสนออย่างยิ่งใหญ่ผ่านการประชาสัมพันธ์และโฆษณาชวนเชื่อของสื่อของทางการจีน ที่โหมประโคมความสำเร็จของผู้นำจีนทั้งในด้านเศรษฐกิจเทคโนโลยี โครงการด้านอวกาศ และการรับมือการระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์การเมืองหลายคนเตือนว่า เมื่อมองจากประสบการณ์ของหลายประเทศในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา จะเห็นได้ว่าการมีผู้นำที่ครองอำนาจเพียงผู้เดียวเป็นเวลานานนั้น ในที่สุดแล้วอาจนำไปสู่หายนะทางการเมือง การบริหารประเทศและเศรษฐกิจก็เป็นได้
ก็ต้องจับตาดูกันต่อไป ว่าจีนในยุคของ สี จิ้นผิง จะยังคงยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างยั่งยืนได้ต่อไปหรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี