สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สดช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ Digital CulturalHeritage หรือโครงการส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัล เพื่ออนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมไทยให้อยู่ในรูปแบบที่ยั่งยืน ผ่านการเรียนรู้ เล่น และภาคภูมิใจ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ผ่านกระบวนการห้องปฏิบัติการนโยบายสาธารณะ หรือ Policy Lab และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ หรือ Hackathon โดยเชิญชวนเยาวชนร่วมกันสร้างสรรค์มรดกทางวัฒนธรรมให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลคอนเทนต์
ภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า “มรดกทางวัฒนธรรม เป็นเอกลักษณ์และมีคุณค่าในการแสดงออกถึงรากฐานและความเป็นมาของชาติ ประเทศไทยมีเอกลักษณ์โดดเด่นในด้านมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ไว้ ปัจจุบันดิจิทัลเข้ามามีส่วนสำคัญในการกำหนดอนาคตและทิศทางในทุกภาคส่วน โครงการ DigitalCultural Heritage จึงนำเอาศักยภาพของข้อมูลดิจิทัลที่สามารถเข้าถึงและเผยแพร่ไปได้ในวงกว้างมาใช้เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมไทยไว้ในรูปแบบดิจิทัลคอนเทนต์ซึ่งจะยั่งยืน ไปได้ไกลขึ้นและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เช่น ถ้านำมรดกทางวัฒนธรรมของแหล่งท่องเที่ยวและอาหารของชุมชนต่างๆ ไปสู่โลกดิจิทัลก็จะเกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และการค้าขายออนไลน์ ทำให้เราได้พัฒนาศิลปวัฒนธรรมต่อยอดสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนและประเทศได้มากขึ้นด้วย”
“ทั้งนี้ สดช. มีความคาดหวังผลใน 3 ด้าน นั่นคือ 1.เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐภาคเอกชน ภาคประชาชนและเยาวชนรุ่นใหม่ในการผลักดันมรดกทางวัฒนธรรมสู่รูปแบบดิจิทัล 2.เพื่อให้เยาวชนช่วยกันอนุรักษ์หรือสืบทอดวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม ของไทยเราให้ยั่งยืนต่อไปในรูปแบบดิจิทัล และ 3.เพื่อให้เกิดการพัฒนาด้าน Digital Manpower หรือพัฒนาบุคลากรของไทยให้มีความสามารถเท่าเทียมกับนานาชาติ” ภุชพงค์ โนดไธสง กล่าว
ด้าน จิระวัฒน์ ภูมิศรีแก้ว หัวหน้าฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์และความสัมพันธ์ภาครัฐ บริษัท Google (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า “Google มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนโครงการ DigitalCultural Heritage ปัจจุบันนี้ ทุกภาคส่วนของสังคมได้มีการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น การทำงานด้านศิลปวัฒนธรรมก็สามารถใช้ประโยชน์จากดิจิทัลได้เช่นเดียวกัน ซึ่งทางบริษัทฯได้เริ่มสนับสนุนการนำเนื้อหาศิลปวัฒนธรรมของไทยเข้าสู่ระบบดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มของ Google Art and Culture มาตั้งแต่ปี 2561”
“ข้อมูลเชิงศิลปวัฒธรรม มีความสำคัญในการสร้างความเข้าใจใน “ความแตกต่างและความหลากหลาย”ของคนในสังคมที่อยู่ร่วมกัน หากนำข้อมูลเหล่านี้เข้าสู่ดิจิทัล และใช้Machine Learning ในการเรียนรู้และเชื่อมโยงข้อมูลที่หลากหลายเหล่านี้ก็จะทำให้เราได้ค้นพบ “ความเหมือน”ในความแตกต่าง ได้ไม่ยาก เราจะเกิดความเข้าใจและภาคภูมิใจ อีกทั้งยังสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้นี้ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อีกด้วย” จิระวัฒน์ ภูมิศรีแก้ว กล่าว
สำหรับการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการโดยผ่านกระบวนการห้องปฏิบัติการนโยบายสาธารณะ หรือ Policy Lab สัญญาเศรษฐพิทยากุล ที่ปรึกษาด้านนโยบายสาธารณะ โครงการส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัล กล่าวว่า “ขณะนี้ได้คัดเลือกพื้นที่นำร่องแล้ว ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลกหรือเมืองสองแคว เนื่องจากเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญของประเทศ ซึ่งมีมรดกทางวัฒนธรรรม (Cultural Heritage) ที่มีเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งวัฒนธรรมในอดีตและวัฒนธรรมร่วมสมัย”
Policy Lab มุ่งหวังให้มีต้นแบบของการกำหนดและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะในยุคดิจิทัล ซึ่งต้องสามารถสร้างคุณค่าได้จริง มีความคล่องตัวมีส่วนร่วมจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและมีความยั่งยืน ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากกิจกรรม Policy Lab ประกอบด้วย1.ยุทธศาสตร์และชุดของโครงการที่ควรดำเนินการ พร้อมหน่วยงานรับผิดชอบและแหล่งงบประมาณ เพื่อสร้างสรรค์ต่อยอดมรดกศิลปวัฒนธรรมนำร่องให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคม โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล 2.กลไกการกำกับดูแล เพื่อการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติให้มีความยั่งยืน และ 3.Public Dashboard เพื่อติดตาม ประเมินผลและถอดบทเรียนของการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวไปสู่การปรับปรุงและขยายผลอย่างต่อเนื่อง
ส่วนกิจกรรมการเรียนรู้และแข่งขันเชิงสร้างสรรค์หรือ Hackathonในชื่อว่า “Hackulture นวัต…วัฒนธรรมเรียงร้อย วัฒนธรรมไทย…สู่โลกดิจิทัล”หัวข้อ “เห็นแต่ไม่เคยรู้” ได้เชิญชวนนิสิตนักศึกษา อายุระหว่าง 16-24 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับ ปวส. ปริญญาตรี หรือเทียบเท่า รวมทีม 4-6 แข่งขันกันถ่ายทอดเรื่องราวของมรดกวัฒนธรรมไทยทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ผ่านรูปแบบดิจิทัลคอนเทนต์รูปแบบใดก็ได้ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัลรวม110,000 บาท มีผู้ส่งผลงานทั้งหมด66 ทีม จากหลากหลายสถาบัน โดย 20 ทีมสุดท้าย ได้เข้าร่วมกิจกรรมค่ายฝึกอบรม (Boot Camp) ระหว่างวันที่ 29-31 ตุลาคม ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น การบรรยายพิเศษเปิด Hackulture Bootcampช่วง Inspiration Talk โดย ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ในหัวข้อ Story-telling & Technology เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนรุ่นใหม่ตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมไทย ให้ความสำคัญกับการสร้าง Storyline หรือโครงเรื่องก่อนแล้วจึงนำเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด ผ่านคำถาม Who What When Where Why และยังมีการถ่ายทอดประสบการณ์ในการผลิตคอนเทนต์ดิจิทัลจากมิ้นท์-มณฑล กสานติกุล หรือที่รู้จักกันในชื่อI Roam Alone ที่เผยถึงวิธีการเลือกคอนเทนต์ว่า จะต้องเลือกจากเรื่องที่ตัวเองสนใจ อยากรู้และสงสัยก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนี้ทั้ง 20 ทีมจะต้องสร้างสรรค์ผลงานจริงร่วมกับ Mentor หรือที่ปรึกษาประจำกลุ่มเพื่อผลิตผลงานจริงรอบสุดท้ายซึ่งจะตัดสินพร้อมมอบรางวัลและจัดนิทรรศการในวันที่ 12 มกราคม 2565 ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี