สถานการณ์เบาหวานทั่วโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากการสำรวจของสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (IDF) ระบุว่าในปี 2562 คาดการณ์ว่าในอีก 25 ปีข้างหน้า สถานการณ์ทั่วโลกจะมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นถึง 700 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 51% ในขณะที่ข้อมูลสำรวจสถานะสุขภาพอนามัยของคนไทยในปี 2562 พบความชุกของโรคเบาหวาน 9.5% เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2557 ที่มีความชุกอยู่ที่ 8.9% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เสี่ยงและมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวาน คือวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การใช้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น อยู่หน้าจอมือถือมากขึ้น ทำให้ขยับร่างกายน้อยลง การขาดการออกกำลังกาย รวมถึงการบริโภคของหวานและอาหารที่ให้พลังงานเกินความต้องการของร่างกาย
สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร, สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร, กระทรวงสาธารณสุข, สมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน, ชมรมเบาหวาน, ภาคีเครือข่ายต่างๆ และโรงพยาบาลราชวิถี จึงได้จัดงาน “สัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การสร้างเครือข่ายและชมรมเบาหวานของประเทศไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืน” โดยได้รับเกียรติจาก พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเปิดงาน เนื่องจากกรุงเทพมหานคร ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาด้านสาธารณสุขของประเทศไทยที่สั่งสมมายาวนาน ร่วมสนับสนุนให้ผู้ป่วยเบาหวานมีส่วนร่วมในการจัดการเบาหวานของตนเอง และมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลตนเองที่ถูกต้อง สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตตนเอง ให้สอดคล้องกับแนวทางการรักษา รวมทั้งแบ่งปันประสบการณ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการบริหารจัดการกับโรคเบาหวานระหว่างภาคส่วนต่างๆ นั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ควรเร่งขับเคลื่อนโรงพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานครจะเป็นกลจักรสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เป็นโรคเบาหวานสามารถจัดตั้งชมรมและการป้องกันตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยยิ่งขึ้น
ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี นิธิยานันท์ นายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ มีแนวทางขับเคลื่อนให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมเบาหวานของตนเองได้ โดยจำเป็นต้องเรียนรู้ว่าเบาหวานคืออะไร เป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลของแต่ละคน ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้กำหนด รวมถึงต้องควบคุมระดับความดันและระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย เพราะ 2 สิ่งนี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ในอนาคต
ปัจจุบันการมาพบแพทย์รักษาเบาหวานที่โรงพยาบาล จะเป็นลักษณะการทำงานร่วมกันเป็นทีมสหวิชาชีพ มีพยาบาล เภสัชกร และนักโภชนาการบำบัด ร่วมดูแลให้คำปรึกษาแนะนำร่วมด้วย รวมถึงการตรวจสุขภาพประจำปีของผู้ป่วยเบาหวานก็จะครอบคลุมมากขึ้น มีการตรวจสุขภาพตา ตรวจปัสสาวะเพื่อดูการทำงานของไต ตรวจสุขภาพเท้า เพื่อดูแลป้องกันเชิงรุกก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเกิดแผลตามมา ทั้งนี้ สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ ได้พยายามขับเคลื่อนให้มีการดูแลอย่างครบถ้วน เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึงและใกล้ชิดกับผู้ให้บริการมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไว้รัสโควิด-19 ได้มีการใช้เทคโนโลยีร่วมด้วย อาทิ การดูแลผู้ป่วยผ่าน Telemedicine รวมถึงมีสื่อการเรียนรู้บนดิจิทัลต่างๆ”
รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ เลขาธิการสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า จากอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเบาหวาน เกือบ 2 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตัวแปรสำคัญคือ การทำงานของตับอ่อน มักพบว่าในวันที่วินิจฉัยได้ว่าป่วยเป็นเบาหวาน การทำงานของตับอ่อนลดลงถึง 50% แล้ว ประกอบกับภาวะดื้อต่ออินซูลินจากความอ้วน ดังนั้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านสาธารณสุข จึงจำเป็นต้องดำเนินการเชิงรุกเพื่อตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงก่อนที่จะเป็นเบาหวาน ประมาณ 5-10 ปี ก่อนที่การทำงานของตับอ่อนจะลดประสิทธิภาพลงจนไม่สามารถฟื้นสภาพได้
อย่างไรก็ตาม การคัดกรอง ถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญในการลดอัตราผู้ป่วยเบาหวาน เพราะนอกจากจะคัดกรองกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นเบาหวานแล้ว ยังสามารถป้องกันผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงเพื่อไม่ให้เกิดโรคอีกด้วย สำหรับผู้เป็นเบาหวานแล้วก็พยายามไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมา นอกจากนี้ การปรับแนวคิดหรือวิธีปฎิบัติในชุมชน อาทิ ปรับค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือดของคนในชุมชนหรือคนในกรุงเทพฯ ให้ลดลง, จัดกิจกรรมออกกำลังกายในชุมชน, สนับสนุนอาหารเช้าที่ถูกหลักโภชนาการภายในโรงเรียน หรือการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างเหมาะสม ฯลฯ ก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้บรรลุเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่จะหยุดการเพิ่มขึ้นของโรคเบาหวานและโรคอ้วน และหากสามารถดำเนินการส่งต่อกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ป่วยเบาหวานจากชุมชนเพื่อเข้าสู่โมเดลการดูแลรักษาแบบครบวงจร โดยมีการเชื่อมโยงกับทั้งระบบสาธารณสุขไทย ก็จะทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกันการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ถือเป็นอีกหัวใจสำคัญที่จะช่วยลดภาวะโรคแทรกซ้อนได้ ศ.คลินิก นพ.วีระศักดิ์ ศรินนภากร นายแพทย์ทรงคุณวุฒิด้านอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี และนายกสมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน กล่าวว่า ด้วยจำนวนผู้ป่วยเบาหวานที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างแพทย์ที่ดูแลรักษาและจำนวนผู้ป่วย อีกทั้ง แพทย์ยังมีเวลาจำกัด ทำให้บางครั้งผู้ป่วยไม่เข้าใจโรคและไม่เข้าใจการใช้ยาฉีดอินซูลิน อาทิ ควรฉีดอย่างไร การปรับยาฉีด รวมถึงการแก้ไขปัญหาภาวะน้ำตาล เป็นต้น ซึ่งการจัดทำแพลตฟอร์มการเรียนรู้บนเว็บไซต์ www.t2dminsulin.com สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ต้องใช้อินซูลิน ที่ได้รับการสนับสนุนโดย บริษัท ซาโนฟี่-อเวนตีส (ประเทศไทย) จำกัด ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่กล่าวข้างต้นและสร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้ป่วยได้รับข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับอินซูลิน และสามารถนำไปปรับใช้ดูแลตนเองได้
เทคโนโลยีสื่อการเรียนรู้ www.t2dminsulin.com ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล ผู้ป่วย ผู้ดูแลผู้ป่วย และประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลได้บนทุกแพลตฟอร์ม อำนวยความสะดวกให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา โดยข้อมูลที่ถ่ายทอดอยู่ในรูปแบบการ์ตูนแอนิเมชั่นที่เข้าใจง่าย และได้ปรับศัพท์เชิงวิชาการให้ง่ายต่อการเข้าใจ โดยเนื้อหาได้รับการตรวจสอบความถูกต้องจากทีมแพทย์ชำนาญการด้านโรคเบาหวานจากโรงพยาบาลระดับประเทศหลายแห่ง เพื่อมุ่งให้เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ อีกทั้งได้สอดแทรกสาระผ่านเกม ประกอบด้วย 8 บทเรียน อาทิ ความสำคัญของอินซูลิน, ความเข้าใจผิดและความจริงเกี่ยวกับอินซูลิน, การเริ่มใช้อินซูลินในการรักษาเบาหวาน, อาหารและการออกกำลังกายสำหรับผู้เป็นเบาหวาน, การจัดการเมื่อเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ, ชนิดของอินซูลิน, การเก็บและการพกพาอินซูลิน และการใช้เครื่องเจาะน้ำตาลปลายนิ้วและความจำเป็นในการปรับขนาดยา เป็นต้น และจะมีการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับอินซูลินบนเว็บไซต์ www.t2dminsulin.com เพิ่มเป็น 12 บทเรียน ในช่วงต้นปี 2565 อีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี