หลายคนคงรู้สึกที่เห็นคำว่า Neoclassicism และ Classicism แล้วคงสับสนว่า แท้ที่จริงแล้วแนวทางศิลปะทั้งสองต่างกันหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้เพราะภาพเขียนจาก แนวทางศิลปะทั้งสองดีคล้ายกันมาก จริงอยู่แนวทางศิลปะทั้งสองสาขาต่างมีรากมาจากแนวทางศิลปะกรีกและโรมันโบราณเหมือนกันแต่แนวทางศิลปะแบบ Classicism จะเน้นความเป็นแบบแผน ความเรียบง่าย สัดส่วน และความสมบูรณ์แบบโดยปิดกั้นด้านอารมณ์ ส่วนแนวทางศิลปะแบบ Neoclassicism ที่รุ่งเรืองในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั้นสะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปของโลกอยู่มากโดยเน้นเรื่องสีสันที่ค่อนข้างสดใส เส้นที่คมชัด และเนื่องจากศิลปะแนว Neo classicism ยังอยู่ในช่วง Enlightenment จึงได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเกี่ยวกับศีลธรรม จรรยา อารมณ์และพฤติกรรมด้วย ผลงานส่วนใหญ่ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจึงดูทันสมัยกว่า Classicism และเกี่ยวข้องกับคุณความดี
Pilgrim from an Italian City detail
Landscape with Belaam detail
Pilgrim from an Italian City โดย Franz Ludwig Catel
Landscape with Belaam โดย Joseph Anton Koch
ผลงานยุค Neoclassicism ใน Germanisches Museum ที่โดดเด่นมีหลายชิ้น เช่น The Death of Consul Papirius ของ Philipp Friedrich Hetsch แม้ผลงานชิ้นนี้จะไม่ใช่ภาพแนวกรีกโบราณโดยตรง แต่เครื่องแต่งกาย การจัดวางตำแหน่งของวัตถุ และสถาปัตยกรรมในรูปก็แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าเป็นภาพที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุคกรีกโบราณ ส่วนภาพ Landscape with Belaam โดย Joseph Anton Koch ที่มีรายละเอียดซับซ้อนประกอบไปด้วยการจับแพะไปบูชายัญตรงแท่นบูชา การจูงวัวไปเข้าพิธี และการขี่ม้านั้น ศิลปินใช้จินตนภาพมาจัดวางองค์ประกอบได้เหมือนอย่างในละครตามแนวทางของ Neoclassicism อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วน Ajax with the arm of Achilles ของ Heinrich Friedrich Fuger ก็เป็นอีกภาพหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของงานยุค Neoclassicism สังเกตได้จาก อาวุธ การจัดวางท่าทาง และสีสัน
Ajax with the arm of Achilles ของ Heinrich Friedrich Fuger
The Death of Consul Papirius ของ Philipp Friedrich Hetsch
เนื่องจากแนวคิดในยุค Neoclassicism ยังอยู่ในช่วง Enlightenment ด้วย ภาพอีกแนวหนึ่งซึ่งศิลปินนิยมวาดจึงมักเป็นภาพที่เกี่ยวเนื่องกับความรักและความสัมพันธ์โดยเฉพาะภาพความรักระหว่างแม่กับลูก เช่น ภาพ Pilgrim from an Italian City โดย Franz Ludwig Catel แม้ภาพนี้จะดูคล้ายภาพทิวทัศน์ทั่วไป แต่หากผู้ชมสังเกตให้ดีจะพบว่า ศิลปินเน้นเรื่องความสัมพันธ์และความรักดูได้จากสายตาของมารดาที่อุ้มบุตร และการโอบกอดทักทายกันของหญิงทั้งสองภายใต้อาภรณ์แนวโรมันซึ่งเป็นลักษณะเด่นของศิลปะแนว Neoclassicism ส่วนภาพ Portrait of Maria Theresia Josepha with her three children โดย Joseph Abel ก็เป็นอีกภาพที่เน้นเรื่องความสัมพันธ์สังเกตได้จากสายตาของ Maria Theresia Josepha ที่มองดูบุตรีด้วยความรักใคร่ซึ่งมักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความดีงามในยุค Enlightenment นอกจากผลงานแนวจิตกรรมแล้ว ผลงานศิลปะที่ไว้ใช้สำหรับตกแต่งและใช้สอยยังรุ่งเรืองมาก เช่น ผลงานด้านปฏิมากรรม งานกระเบื้อง เป็นต้น
Portrait of Maria Theresia Josepha with her three children โดย Joseph Abel
Sculpture
เครื่องกระเบื้อง
Childhood and Spring โดย Bertel Thorvaldsen
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี