ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯสั่งระบายน้ำมันในคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯมากถึง 50 ล้านบาร์เรล โดยมีหลายประเทศ รวมทั้งจีน ที่สหรัฐฯประสานร่วมดำเนินมาตรการลักษณะเดียวกันนี้ เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น โดยไม่พึ่งพากลุ่มโอเปก
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ สั่งระบายน้ำมันออกมาจากคลังสำรองยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปริมาณ 50 ล้านบาร์เรล เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงแล้ว ทำเนียบขาวระบุว่า สหรัฐฯได้ประสานงานกับชาติที่บริโภคพลังงานรายใหญ่อื่นๆ แล้ว เช่น จีน อินเดียสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งนายไบเดนระบุว่า การประสานงานกันครั้งนี้ จะช่วยให้สามารถรับมือกับอุปทานที่ขาดแคลนได้ และจะช่วยผ่อนคลายราคาพลังงานลงด้วย ด้านเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯบอกกับสื่อว่า การปล่อยคลังน้ำมันสำรองจะเริ่มต้นในช่วงกลางไปจนถึงปลายเดือนธันวาคม และอาจมีการแทรกแซงเพิ่มเติมอีกเพื่อทำให้ตลาดเสถียร
ขณะที่ ญี่ปุ่น ตอบรับแนวทางของสหรัฐฯเช่นกัน โดยนายกรัฐมนตรีฟุมิโอ คิชิดะ เผยว่า รัฐบาลจะปล่อยน้ำมันสำรองออกสู่ตลาด ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ขัดต่อกฏหมายญี่ปุ่น เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ปล่อยน้ำมันสำรองออกมาได้ ในกรณีที่มีความเสี่ยงว่า ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นจนส่งผลกระทบต่อประชาชน แต่นายคิชิดะ ยังไม่ได้ระบุุว่า ญี่ปุ่นจะปล่อยน้ำมันสำรองออกมาเท่าใด
ด้าน นายจ้าว ลี่เจี้ยน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน แถลงว่า เป็นเวลานานมาแล้ว ที่จีนให้ความสำคัญอย่างมากต่อเสถียรภาพของตลาดน้ำมันโลก และจีนยินดีที่จะร่วมมือกับทุกฝ่ายในการปกป้องสมดุลของตลาดและความมั่นคงในระยะยาว ผ่านการสื่อสารและความร่วมมือกัน โดยในฝั่งของจีน จะมีการระบายน้ำมันดิบออกจากคลังสำรองของรัฐเช่นกัน ตามสถานการณ์และความจำเป็นของจีนเอง และจะมีการประกาศข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อถึงเวลา
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า จีนอาจช่วยอเมริกาควบคุมราคาน้ำมันไม่ให้พุ่งขึ้นด้วยการปล่อยน้ำมันดิบสำรองออกสู่ตลาด ขณะที่ “โกลบอลไทมส์” รายงานว่า ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน โดยจีนกำลังพิจารณาปล่อยน้ำมันดิบจำนวนหลายล้านบาร์เรลออกจากคลังสำรอง เพื่อลดราคาลง และกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
การปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองมีขึ้นขณะที่ชาวอเมริกันกำลังเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น และราคาสินค้าต่างๆ ที่พุ่งขึ้น ก่อนหน้าวันหยุดขอบคุณพระเจ้าที่เริ่มต้นในวันพฤหัสบดีนี้ และการเดินทางวันหยุดในช่วงฤดูหนาว ขณะที่สมาคมยานยนต์สหรัฐฯระบุว่า ราคาน้ำมัน อยู่ที่ราว3.40 ดอลลาร์ หรือราว 110 บาทต่อแกลลอน มากกว่าราคาปีที่แล้วถึงสองเท่าไปแล้ว และสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2014
รัฐบาลไบเดนให้เหตุผลในการระบายน้ำมันออกมาว่า อุปทานน้ำมันไม่สอดคล้องกับอุปสงค์ ขณะที่โลกกำลังฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคระบาดทำให้ภาคธุรกิจและครัวเรือน ต้องจ่ายเงินมาก คลังน้ำมันสำรองนั้นเป็นเครื่องมือที่ถูกต้องในการช่วยแก้ปัญหานี้
สำหรับ US Strategic Petroleum Reserve หรือคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ สร้างขึ้นในปี 1975 เพื่อสำรองน้ำมันไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความมั่นคงของชาติ นอกจากนี้ ยังเป็นคลังน้ำมันสำรองฉุกเฉินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วย และถูกเก็บใต้ดินตามชายฝั่งของรัฐเท็กซัสและลุยเซียนาโดยปกติแล้วจะมีการกักตุนน้ำมันไว้ราว605 ล้านบาร์เรล แต่มีศักยภาพความจุได้ถึง 714 ล้านบาร์เรล
CNN รายงานว่า ท่าทีของสหรัฐฯอาจเป็นสัญญาณส่งไปยังชาติสมาชิกองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออกและพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ว่าสหรัฐฯนั้นจริงจังในการทำให้น้ำมันมีราคาต่ำลง หลังชาติเหล่านี้ไม่ยินดีที่จะเพิ่มกำลังการผลิต ที่ผ่านมา รัฐบาลไบเดนได้เตือนซาอุดีอาระเบียมาหลายสัปดาห์แล้วว่า สหรัฐฯจะหาทางออกอื่นหากราคาน้ำมันดิบยังสูงกว่า 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ซาอุดีอาระเบียยืนยัน ไม่เพิ่มการผลิต ซึ่งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯคาดว่า เป็นเพราะสหรัฐฯจะบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ทำให้ซาอุดีอาระเบียกังวลว่า จะมีการยกเลิกการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน และทำให้อิหร่านกลับมาเร่งกำลังการผลิตน้ำมัน
แต่การที่ซาอุดีอาระเบียเมินข้อเสนอดังกล่าว ทำให้รัฐบาลไบเดนหันไปเจรจากับชาติอื่นๆ แทน เพราะหากทำร่วมกันในระดับสากล จะมีประสิทธิภาพมากกว่าในการควบคุมราคาตลาด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี