Allegory of Public Welfare by Jan Brueghel
ในมิวเซียมที่มีผลงานยุคเรอเนสซองส์นอกจากจะมีงานของเยอรมัน อิตาลี และสเปนแล้วงานของเนเธอร์แลนด์ก็เป็นงานของศิลปินอีกกลุ่มหนึ่งที่โดดเด่นโดยเฉพาะในช่วงGolden Age ของดัชท์ Museum of Fine ArtsBudapest ก็เป็นมิวเซียมที่มีงานของศิลปินในยุคนี้อยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะงานของJan Brughel นักท่องเที่ยวที่ศึกษาประวัติศาสตร์รวมทั้งประวัติศาสตร์ศิลป์จะทราบดีว่ายุคทองของดัทช์ที่เริ่มต้นในปี 1588 ซึ่งเป็นช่วงต้นของ Eighty Year’s War อันเป็นผลมาจากการที่ 7 จังหวัดของเนเธอร์แลนด์กระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้าฟิลิปส์ที่สองแห่งสเปน เรื่อยมาจนสิ้นสุดสงครามในปี 1648 และเข้าสู่ช่วงสงบจวบจนถึง 1672 War of Spanish Succession นั้นเป็นช่วงที่เนเธอร์แลนด์มีความโดดเด่นทั้งในแง่การค้า วิทยาศาสตร์ การทหารและศิลปะ
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นกระแสการต่อต้านคริสตจักรได้แพร่กระจายมาสู่เนเธอร์แลนด์ด้วยเนื่องจากเป็นประเทศที่อยู่ติดกับเยอรมันกระแสต่อต้านหรือ Protestant นี้โดดเด่นในกลุ่มนักประดิษฐ์ ศิลปินและคหบดีที่อาศัยตามเมือง Ghent, Bruges และ Antwerp ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของเนเธอร์แลนด์ทั้งนั้น ศิลปินที่โดดเด่นที่สุดของดัทช์ในช่วงเวลานั้นก็คือ Jan Brueghel เขาเกิดในเมือง Brusselsเป็นบุตรของ Pieter Bruegel the Elderและ Maria Coecke van Aelst บุตรีของ PieterCoecke van Aelst ศิลปินเรอเนสซองส์ที่สำคัญของดัทช์ หลังจากบิดา-มารดาเสียชีวิต เขาและ Pieter Brueghel the Younger น้องชายและน้องสาวได้ย้ายไปอยู่กับ Mayken Verhulstยายของเขาที่เป็นศิลปินม่าย ยายเป็นคนสอนศิลปะให้ทั้งสองพี่น้องก่อนที่จะส่งทั้งสองไป Antwerp เพื่อเรียนจิตรกรรมกับ Peter Goetkint นักสะสมภาพที่มีห้องภาพเป็นของตัวเอง
Allegory of Public Welfare detail by Jan Brueghel
หลังจากนั้นเขาเดินทางไปโคโลญจน์เพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวน้องสาวและได้เข้าร่วมกับ Frankenthal ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการวาดภาพทิวทัศน์ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานในเวลาต่อมา หลังจากนั้นเขาเดินทางต่อไปยังเวนิสและเนเปิล อิตาลี ประเทศที่ศิลปินนิยมไปศึกษาต่อยอดและดูงาน เขาได้รังสรรค์งานทิวทัศน์และสถาปัตยกรรมให้กับ Don Francesco Caraccioloพระผู้ก่อตั้ง Clerics Regular Minor นักท่องเที่ยวจะเห็นว่า ตัวอย่างผลงานของ Jan Brueghel ใน Museum of Fine ArtsBudapest ที่ชื่อ Paradise Landscape with the Fall of Man และ Allegory of PublicWelfare นั้นแสดงอัจฉริยภาพของเขาได้อย่างเด่นชัดโดยเฉพาะส่วนที่เป็นทิวทัศน์ ดอกไม้ ลวดลายบนตัวสัตว์ที่มีรายละเอียดซับซ้อน เป็นธรรมชาติและเหมือนจริงอย่างหาที่ติได้ยาก
ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 16 ศิลปินเริ่มหันเหออกจากการวาดภาพเหมือน ภาพทิวทัศน์ และภาพ Still life สู่การวาดภาพเรื่องราวของชีวิตประจำวัน แม้ศิลปินบางคนจะยังมีการวาดเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาเป็นพื้นฐาน แต่จะออกแนวเกี่ยวกับชีวิตประจำวันหรือเป็นชาวบ้านมากขึ้น อาทิ The Village Fairของ Peter Balten หรือ Susanna and the Eldersของ Gortzius Geldorp ที่แม้เป็นเรื่องราวจากพระคัมภีร์เก่าแต่ลักษณะการนำเสนอก็ออกแนวคนทั่วไป การนำเสนอของศิลปินดัชท์จึงดูกลมกลืนกันและมีอัตลักษณ์ ถึงกระนั้นก็ตาม หากนักท่องเที่ยวสังเกตให้ดีก็ยังพบว่า แม้งานของศิลปินดัทช์จะมีเอกลักษณ์แต่ก็ยังมีกลิ่นอายของ Italian Renaissance อยู่ไม่มากก็น้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี