คาซัคสถาน ประเทศในเอเชียกลางที่แยกตัวมาจากอดีตสหภาพโซเวียต กำลังเผชิญเหตุประท้วงและจลาจลนองเลือดที่สุดในรอบกว่า 10 ปี อันมีสาเหตุมาจากการที่รัฐบาลปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี ซึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักของยานยนต์ในประเทศเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว จนทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น 2 เท่าในเวลาต่อมา สร้างความไม่พอใจให้ประชาชนออกมาประท้วงที่ภูมิภาคมังกีสเตาตั้งแต่วันอาทิตย์ จนประธานาธิบดีคาซีม-โยมาร์ต โตคาเยฟ ต้องอนุมัติหนังสือลาออกของคณะรัฐบาล แต่ความไม่พอใจลุกลามบานปลายขยายมาถึงเมืองอัลมาตี เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศ ผู้ประท้วงทั้งก่อความวุ่นวายและจลาจล บางส่วนพยายามเข้ายึดสถานีตำรวจหลายแห่งในเมือง ทำให้กองกำลังความมั่นคงต้องยิงสังหารผู้ก่อการจลาจลไปหลายสิบคน
ผู้นำคาซัคสถานต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศนาน 15 วัน ตั้งแต่เมื่อวันพุธ ประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล และห้ามการชุมนุม รวมถึง ร้องขอให้องค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน หรือ CSTO ซึ่งมีรัสเซียเป็นแกนนำ ช่วยเหลือคาซัคสถานหลังรัฐบาลไม่สามารถควบคุมเหตุประท้วงรุนแรงติดต่อกันหลายวัน ก่อนที่รัสเซียจะส่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงไปยังคาซัคสถานเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงตามที่ผู้นำคาซัคสถานร้องขอ
สำนักประธานาธิบดีคาซัคสถานระบุในแถลงการณ์ในเวลาต่อมาว่า คาซัคสถานได้เริ่มปฏิบัติการต่อต้านผู้ก่อการร้าย จากนี้จะมีการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด จะยิงผู้ก่อความไม่สงบโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า และระเบียบตามรัฐธรรมนูญของคาซัคสถานก็ได้รับการฟื้นฟูในทุกภูมิภาคของประเทศแล้ว ทางการท้องถิ่นได้เข้าควบคุมสถานการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้น แต่กลุ่มก่อการร้ายยังคงใช้อาวุธทำลายทรัพย์สินของประชาชน คาซัคสถานจึงต้องเดินหน้าใช้ปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายต่อไปจนกว่าจะจำกัดกลุ่มคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด
ขณะเดียวกัน เขายังได้สั่งให้คณะรัฐบาลรักษาการและผู้ว่าการรัฐต่างๆ กลับไปใช้กฎหมายควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือแอลพีจี เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน เช่นเดียวกับตรึงน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันดีเซล และสินค้าอุปโภค-บริโภคอื่นๆ ที่จำเป็นต่อประชาชนออกไปอีก6 เดือนเช่นกัน นอกจากนี้ยังสั่งให้คณะรัฐบาลรักษาการเริ่มร่างกฎหมายล้มละลายส่วนบุคคล รวมถึงพิจารณาใช้มาตรการตรึงราคาสาธารณูปโภค และมอบเงินช่วยเหลือค่าเช่าที่พักอาศัยให้แก่ครอบครัวยากจน
ไม่ถึงกับต้องเป็นผู้สันทัดกรณีด้านการเมืองระหว่างประเทศ แค่คนที่ติดตามข่าวต่างประเทศก็พอจะเข้าใจได้ว่า การประท้วงในคาซัคสถานที่ยกระดับกลายเป็นความรุนแรง บอกเป็นนัยว่าสาเหตุของการประท้วงมีมากกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน
คาซัคสถานเป็นรัฐในเอเชียกลางหลังแยกตัวเป็นเอกราชถูกปกครองโดยประธานาธิบดีนูร์สุลต่านนาซาร์บาเยฟ ยาวนานกว่า 30 ปีด้วยลัทธิบูชาบุคคล โดยมีการสร้างรูปปั้นของเขาทั่วประเทศและเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงเป็นชื่อเขา
นาซาร์บาเยฟจำต้องพ้นจากตำแหน่งปี 2019 ท่ามกลางการประท้วงต่อต้านรัฐบาลซึ่งเขาพยายามจำกัดด้วยการก้าวลงจากตำแหน่ง และวางตัวพันธมิตรที่ใกล้ชิดเข้ามาแทนที่เขา คือประธานาธิบดีโตกาเยฟ เป็นผู้นำคนที่สองของประเทศนับตั้งแต่คาซัคสถานประกาศเอกราชในปี 1991 แต่การเลือกตั้งในประเทศ พรรครัฐบาลชนะเป็นส่วนใหญ่ด้วยคะแนนเสียงเกือบ 100%และไม่มีฝ่ายค้านทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพ
นักวิเคราะห์บอกว่ารัฐบาลประเมินความโกรธแค้นของประชาชนต่ำเกินไป และไม่น่าแปลกใจ สำหรับประเทศที่ไม่มีประชาธิปไตยในการเลือกตั้ง ผู้คนต้องออกไปประท้วงที่ถนนเพื่อให้คนได้รับรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการ และความคับข้องใจของพวกเขามีมากกว่าปัญหาเรื่องราคาน้ำมันแน่นอน แต่ลึกๆ แล้ว เป็นอาการของความโกรธและความขุ่นเคืองที่ฝังลึกและเดือดดาลที่มาจากความล้มเหลวของรัฐบาล ที่ไม่สามารถพัฒนาประเทศของตนให้ทันสมัยได้อย่างที่ใจคิดมากกว่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี