เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ กำลังตรวจสอบถึงแรงจูงใจการก่อเหตุสลดในเมืองบัฟฟาโลรัฐนิวยอร์ก ที่นายเพย์ตันเกนดรอน หนุ่มอเมริกันผิวขาว วัย 18 ปี บุกกราดยิงในร้านขายของชำ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 10 ศพ ก่อนจะยอมมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ โดยมีเบาะแสสำคัญ คือ แถลงการณ์ความยาว 180 หน้าของนายเกนดรอน ซึ่งภายในเต็มไปด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับทฤษฎีการแทนที่ครั้งใหญ่ (The Great Replacement) ที่เป็นทฤษฎีที่กลุ่มชาตินิยมผิวขาวในแถบอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ยึดถือ
ดร.ลอว์เรนซ์ โรเซนทัล ประธานและหัวหน้าทีมวิจัยศูนย์ฝ่ายขวาศึกษาเบิร์กลีย์ อธิบายกับสำนักข่าว Reuters ถึงทฤษฎีการแทนที่ครั้งใหญ่ว่า “เป็นแนวคิดของประชากรผิวขาวในอเมริกาเหนือ รวมถึงสหรัฐฯ และในยุโรป ว่าด้วยการถูกแทนที่ประชากรด้วยชนกลุ่มน้อย ผ่านการอพยพเข้าประเทศ” ผู้คนที่เชื่อในทฤษฎีนี้จะมองว่า อำนาจผลประโยชน์และสิทธิของพวกเขา กำลังถูกพรากไปและมอบให้กับชนกลุ่มน้อย ที่เข้ามาอาศัยในประเทศในฐานะผู้อพยพ เป็นการโทษความยากลำบากที่พวกเขาเผชิญว่า เป็นเพราะชนกลุ่มน้อยขโมยสิ่งเหล่านั้นไปจากพวกเขา
ทฤษฎีการแทนที่ครั้งใหญ่ หรือ Great Replacement Theory เชื่อว่ามีรากฐานมาจากกลุ่มชาตินิยมในฝรั่งเศส ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ผ่านงานเขียนของ เรอโน กามู ที่เชื่อว่าหากไม่ทำอะไรสักอย่าง ผู้อพยพจากแอฟริกาและตะวันออกกลางจะทำให้เผ่าพันธุ์ยุโรปดั้งเดิมถึงกาลอวสาน
แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้อย่างรุนแรงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นนโยบายหลักของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่ต่อต้านกลุ่มผู้อพยพที่ไม่ใช่คนผิวขาว โดยเฉพาะชาวยิวที่ทำให้ชาวยิวถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ถึง 6 ล้านคนนอกจากนี้ทฤษฎี The Great Replacement ยังถูกนักการเมืองฝ่ายขวาที่มีแนวคิดชาตินิยมนำมาใช้ในการหาเสียง ซึ่งเหตุกราดยิงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะพบว่าผู้ก่อเหตุเป็นผู้ที่ศึกษาทฤษฎี The Great Replacement อย่างจริงจัง และมีการเผยแพร่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามโซเชียลมีเดียหรือเว็บบอร์ดเฉพาะกลุ่ม ซึ่งมีผู้ติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ
สันนิบาตต่อต้านการหมิ่นประมาท ชี้ว่า กลุ่มชาตินิยมผิวขาวในสหรัฐฯ และในต่างประเทศเชื่อว่าชาวยิวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการอพยพของประชากรที่ไม่ใช่ผิวขาว ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผิด และก่อให้เกิดทัศนคติเหยียดชาวยิว
ดร.โรเซนทัล ชี้ว่า ทฤษฎีการแทนที่ครั้งใหญ่เชื่อมโยงกับเหตุกราดยิงและสังหารหมู่หลายครั้งในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการสังหารหมู่คนผิวดำในโบสถ์รัฐเซาท์แคโรไลนา เมื่อปี 2015 การโจมตีมัสยิดมุสลิมในเมืองไครสต์เชิร์ชของนิวซีแลนด์เมื่อปี 2019 ไปจนถึงการเดินขบวนเพื่อเอกภาพของชาวเมืองชาร์ลอตส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนียในปี 2017 ที่พวกเขาเดินขบวนและตะโกนว่า “ชาวยิวจะต้องไม่แทนที่เรา”
ดร.โรเซนทัล ชี้ว่า รัฐบาลและภาคประชาสังคมจำเป็นต้องควบคุมจัดการทฤษฎีการแทนที่ครั้งใหญ่ และแนวคิดที่อันตรายอื่นๆ ไม่ให้แพร่กระจายไปยังคนรุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบันการเผยแพร่นั้นง่ายมากผ่านสังคมออนไลน์ พร้อมชี้ว่า ผู้ก่อเหตุในเมืองบัฟฟาโล อาจถูกล้างสมองจากการเสพคอนเทนต์เกี่ยวกับทฤษฎีนี้ผ่าน YouTube และอัลกอริทึมของสังคมออนไลน์ ก็จะนำเสนอเรื่องแบบนี้ให้เขาเห็นมากขึ้น
ในส่วนของทางคดี ตำรวจระบุว่า เพย์ตัน เกนดรอน มือปืนวัย 18 ปี มาจากเมืองเล็กๆในรัฐนิวยอร์ก ที่มีประชากรผิวขาวมากถึง 96% เขาเพิ่งเรียนจบโรงเรียนมัธยมปลายเมื่อปี 2021ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19ทำให้ช่วง 18 เดือนสุดท้ายของการเรียน เขาต้องเรียนผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาถลำลึกลงไปในการเสพข้อมูลที่สร้างความเกลียดชัง และเพื่อนร่วมชั้นเรียนก็บอกว่าเขามีนิสัยเก็บตัวและไม่ค่อยพูดกับใคร
เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่แล้ว (14 พฤษภาคม) เพย์ตันสวมเสื้อเกราะกันกระสุน หมวกนิรภัย และมีอาวุธครบมือ ทั้งปืนไรเฟิลและปืนสั้นอัตโนมัติ ขับรถจากบ้านในเมืองคอลลินส์ รัฐนิวยอร์กนานหลายชั่วโมง เพื่อตั้งใจเดินทางมายังย่านคนผิวดำในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ทันทีที่ลงจากรถ เขายิงคนในลานจอดรถ แล้วเข้าไปภายในซูเปอร์มาร์เก็ตก่อนกราดยิงพร้อมถ่ายทอดสดผ่านทางออนไลน์ไปด้วย ผ่านกล้องติดบนหมวกนิรภัย ในจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้ง 13 คน มีถึง 11 คน ที่เป็นคนผิวดำหรือชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน
ไบรอน บราวน์ นายกเทศมนตรีเมืองบัฟฟาโลระบุว่า มือปืนจงใจที่จะสังหารคนผิวดำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากเอกสาร 180 หน้าที่เขียนเกนดรอนระบุว่า ตนเป็นพวกเหยียดผิว และเชื่อว่าคนผิวขาวกำลังถูกกำจัดเพราะอัตราการเกิดที่ลดลง สวนทางกับอัตราการเกิดของคนผิวดำที่เพิ่มขึ้นจึงเลือกที่จะลงมือก่อเหตุในเมืองบัฟฟาโล เพราะพบว่าเป็นย่านที่มีคนผิวดำอาศัยอยู่มากที่สุด และอยู่ใกล้ที่พักของเขามากที่สุด แม้จะต้องลงทุนขับรถมาไกลถึง3 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อมาก่อเหตุกราดยิงก็ตาม โดยมาดูลาดเลาไว้ก่อน
นั่นทำให้ เลติเธีย เจมส์ อธิบดีอัยการรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า มือปืนที่ก่อเหตุน่าจะเป็นผู้ป่วยทางจิต ที่เกิดมาจากการบริโภคข้อมูลข่าวสารที่สร้างความเกลียดชังทุกวันนั่นเอง