พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับโลกที่หมุนไป ทำให้เหล่าธุรกิจต้องมีการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ทุกๆ อย่างผันเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน และเกิดพฤติกรรมการใช้วิถีชีวิตแบบ Now Normal ที่พวกเราทุกคนต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ของคนในสังคม หลังจากที่ได้ปรับตัวกับสถานการณ์โควิด-19
เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พบว่าพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเช่นกัน และนอกเหนือจากสาเหตุที่กล่าวไปเบื้องต้นแล้ว สภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองยังคงเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก หนึ่งในวิถีชีวิตแบบ NowNormal ของพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไทยที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดในช่วงนี้ ได้แก่ พฤติกรรมการดูแลตนเองและครอบครัวหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และ พฤติกรรมการใช้จ่ายที่ให้ความสำคัญกับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมากขึ้น
ชุติมา วิริยะมหากุล ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) กล่าวว่าสถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) ได้มุ่งมั่นที่จะทำการศึกษาเกี่ยวกับ “การคาดการณ์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทย” อย่างต่อเนื่อง เพื่อสำรวจและคาดการณ์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทยทุก ๆ สองเดือน ทั้งนี้ เพื่อให้เหล่าธุรกิจสามารถนำข้อมูลวิจัยที่ได้ไปปรับใช้กับแผนการตลาดต่อไป รวมทั้งช่วยนำเสนอไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยมุ่งศึกษาไปที่ ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคม (Life Living person) หรือ Sei-katsu-sha ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของปรัชญาของฮาคูโฮโด ที่ไม่เพียงแค่อธิบายผู้คนในฐานะผู้บริโภคที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่อธิบายถึงความเป็นบุคคลของผู้บริโภคที่มีชีวิต จิตใจ ไลฟ์สไตล์ แรงบันดาลใจ และความฝันที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ชุติมา วิริยะมหากุล
ผลสำรวจประจำเดือนเมษายน 2565 ของสถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) เผยให้เห็นว่า คนไทยนั้นระมัดระวังเรื่องของการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น พร้อมให้ความสำคัญกับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวและสุขภาพ ในช่วงที่ยังคงต้องใช้ชีวิตควบคู่ไปกับโควิด-19 ที่ดูเหมือนจะยังไม่จากไปโดยง่าย ดังนั้นอินไซต์คนไทยในช่วงนี้ คือ การใช้ชีวิตที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันควบคู่ไปกับการเสริมภูมิไปในตัว (preventive & proactive health)
สำหรับการใช้ชีวิตในเชิงป้องกัน พฤติกรรมใหม่ที่เริ่มเห็นมากขึ้นของกลุ่มคนไทย คือการหลีกเลี่ยงการไปหาหมอที่โรงพยาบาลแบบเจอพบปะคุณหมอโดยตรง แต่หันหาทางเลือกในการพบหมอผ่านบริการแบบ telemedicine ที่ให้ความปลอดภัยกว่าแถมยังสะดวกสบายเพราะไม่ต้องเดินออกนอกบ้าน โดยเฉพาะคนไทยช่วงอายุ 40-59 ที่ใส่ใจดูแลตัวเองและยังห่วงใยสุขภาพของสมาชิกในบ้าน ดังนั้นบริการtelemedicine จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่ให้ความมั่นใจได้ว่า ปลอดภัย ประหยัดเวลา และมีสุขภาพดีแบบไม่เสี่ยง
ในด้านการเสริมสุขภาพ วัยรุ่นไทยหลายคนนอกจากออกกำลังกายแล้ว ยังเริ่มหันมาใส่ใจการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่เสริมสุขภาพที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค แต่ยังคงมีราคาไม่แพงจนเกินไป หนึ่งในสินค้าที่เป็นเทรนด์สุขภาพและเข้าถึงได้ง่ายคือ เทรนด์การดื่มเครื่อมดื่มผสมวิตามิน เพราะนอกจากจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้เหมือนกันการทานวิตามินเสริมชนิดเม็ดแล้ว ยังมีรสชาติที่ถูกปากและผ่อนคลายกว่าการดื่มน้ำเปล่าปกติ ถึงแม้ว่าจะต้องยอมจ่ายแพงขึ้นเล็กน้อยในวันนี้ แต่พวกเขาเชื่อว่านี่คือทางเลือกที่ดีกว่าและคุ้มค่ากว่าการป่วยและจ่ายค่ารักษาในอนาคต ดังนั้น พฤติกรรมการบริโภคแบบเสริมสุขภาพนี้เรียกได้ว่าเป็น แนวความคิดใหม่สะท้อนการใช้ชีวิตของวัยรุ่นในยุค New Normal อย่างแท้จริง
แม้จะมีข้อจํากัดจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19เห็นได้ว่าธุรกิจต่างๆ ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ต่างต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดภายใต้โลกยุคใหม่ที่ไม่มีวันเหมือนเดิมเพื่อให้สามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้ตรงใจผู้บริโภคที่สุด ทั้งนี้ สามารถติดตามผลสำรวจเพิ่มเติมได้ที่ Hakuhodo Institute of Life and Living ASEAN (THAILAND) https://www.facebook.com/hakuhodohillasean
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี