แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าว เมื่อวันพฤหัสบดี ถึงแนวนโยบายคณะทำงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต่อประเด็นประเทศจีน ว่า สหรัฐฯ ตั้งใจแน่วแน่ที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง หรือสงครามเย็นครั้งใหม่กับจีน และเราไม่เคยคิดจะตัดจีนออกจากเศรษฐกิจโลกแต่อย่างใด สหรัฐฯ จะไม่ขัดขวางจีนจากการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และจะไม่พยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองของจีน รวมทั้งไม่ได้ต้องการขัดขวางจีนจากการมีบทบาทในฐานะประเทศมหาอำนาจรายใหญ่ของโลก
บลิงเคนระบุว่า แต่สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการคือ ขอให้จีนยึดมั่นในกฎระเบียบระหว่างประเทศ บลิงเคนเรียกร้องการแข่งขันกับจีน เพื่อรักษาระเบียบโลกอย่างที่เป็นอยู่เอาไว้ สิ่งที่สหรัฐฯ กำลังทำอยู่คือ ปกป้องระเบียบโลกที่เป็นอยู่ ซึ่งรวมถึงกฎหมายและสถาบันระหว่างประเทศและข้อตกลงระหว่างประเทศต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ธำรงรักษาสันติภาพและเสถียรภาพของโลกเอาไว้ ทำให้ทุกๆ ประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ และจีนด้วย สามารถอยู่ร่วมกันได้และร่วมมือกันได้
บลิงเคนยอมรับว่า มีความเห็นที่ค่อนข้างตรงกันเป็นเอกฉันท์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ไม่มีประเทศใด จะสามารถขัดขวางการพุ่งทะยานของจีนได้ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการความสัมพันธ์กับจีน อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงดังกล่าวมากขึ้น
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยอมรับว่า จีนเป็นประเทศเดียว ที่มีทั้งความตั้งใจต้องการจัดระเบียบโลกใหม่และมีทั้งอำนาจในทางเศรษฐกิจ ทางการทูตการทหาร รวมทั้งอำนาจในทางเทคโนโลยีอย่างพร้อมมูล ที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้ และอำนาจในด้านต่างๆ ของจีนดังกล่าว ยังคงเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
บลิงเคนระบุว่า สหรัฐฯ ยังคงมองจีนเป็นความท้าทายต่อระเบียบโลกในระยะยาวที่จริงจังที่สุด ถึงแม้ว่าในช่วงนี้สหรัฐฯ ได้หันไปจดจ่อกับปฏิบัติการรัสเซียในยูเครนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาก็ตาม และจีนคือบททดสอบสำคัญทางการทูตของสหรัฐฯ ชนิดที่สหรัฐฯ ไม่เคยพบเจอมาก่อน และย้ำว่า สหรัฐฯไม่ได้ต้องการขัดแย้งกับประเทศจีน เพียงแต่เตรียมตัวในการปกป้องผลประโยชน์ของตน
และเมื่อมีคำกล่าวของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เช่นนี้ Global Times กระบอกเสียงของทางการจีนรายงานทันทีโดยนำเสนอความเห็นของหวัง อี้ เว่ยผู้อำนวยการสถาบันกิจการต่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมิน ว่า ถ้อยแถลงของบลิงเคน เป็นโวหารที่ดูเหมือนจะ“นุ่มนวล” แต่ก็ไม่สามารถปกปิดความจริงที่ว่า นักการทูตระดับสูงของสหรัฐฯ คนนี้กำลังใช้ “ถ้อยคำประดิษฐ์” ที่ทำให้จีนดูเหมือน “tough, big guy” ที่ไม่มีใครควรจะยุ่งวุ่นวายด้วย ขณะที่สหรัฐฯเหมือนกับ “a little poor” ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่านี่เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความ“หน้าซื่อใจคด” ของเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯที่ประดิษฐ์คำพูดสวยหรู แต่กลับไม่เคยหยุดทำในสิ่งที่เลวร้าย
การกล่าวสุนทรพจน์ของบลิงเคนมีขึ้นหลังจากที่ไบเดนเพิ่งเดินทางกลับจากการเยือนเอเชีย และได้มีการกล่าวถึงประเด็นไต้หวัน ที่ว่าพร้อมจะให้การสนับสนุนทางการทหารต่อไต้หวัน หากถูกโจมตี นำมาสู่ความไม่พอใจอย่างมากต่อประเทศจีน และชี้ว่าพร้อมจะรบให้ชนะหากต่างชาติเข้าแทรกแซงเรื่องไต้หวัน ทำให้เกิดความตึงเครียดว่าช่องแคบไต้หวันจะระอุขึ้นมาอีกครั้ง ... ทำให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า การกล่าวสุนทรพจน์ของบลิงเคนครั้งนี้ ดูจะเป็นการลดความดุดันของถ้อยคำของผู้นำสหรัฐฯ เพื่อ tone down ให้สถานการณ์กลับมาดีขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันตรงๆ เพราะหลังการแถลงของไบเดน ทำเนียบขาวถึงกับต้องออกมาย้ำถึงการยอมรับในหลักการจีนเดียว
พูดถึงจีน ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ กรณีนายหวัง อี้รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ปฏิบัติภารกิจเยือนหลายประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งการเข้ามาของจีนนั้นเป็นทั้งความหวังและความกังวลสำหรับชาติแปซิฟิก และสหรัฐฯ กับพันธมิตร เพราะเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว จีนและหมู่เกาะโซโลมอนได้ลงนามข้อตกลงด้านความมั่นคง จนทำให้สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรกังวลว่าจะเป็นการเปิดทางที่ทำให้จีนสร้างฐานทัพในชาติหมู่เกาะแปซิฟิกได้
การเดินทางเยือนชาติแปซิฟิกของผู้แทนจีน สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้น เพื่อโน้มน้าวชาติในภูมิภาคนี้ โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรับฯได้เยือนฟิจิ และในสัปดาห์นี้นางเพนนี หว่อง รัฐมนตรีต่างประเทสออสเตรเลียได้เดินทางเยือนฟิจิเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แม้จีนยืนยันว่าจะไม่มีการสร้างฐานทัพในหมู่เกาะโซโลมอน แต่ในเวลานี้ ยังเกิดคำถามมากมายตามมา เช่น ข้อตกลงด้านความมั่นคง จะทำให้จีนส่งเรือรบมาที่หมู่เกาะโซโลมอนได้หรือไม่ ตลอดจนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแร่ใต้ทะเลของโซโลมอนได้หรือไม่ และจีนกำลังโน้มน้าวในชาติอื่นๆ ลงนามข้อตกลงในลักษณะเดียวกันนี้หรือไม่
เว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ อัล จาซีรารายงานว่า นับตั้งแต่ปี 2009 จีนคือผู้ให้กู้ยืมรายใหญ่อันดับสองของกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก รวมมูลค่ากว่า 169 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงเงินให้เปล่า และความแตกต่างของการช่วยเหลือระหว่างจีน กับสหรัฐฯ หรือออสเตรเลีย หรือองค์กรระหว่างประเทศอย่าง ธนาคารโลก และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ก็คือ รัฐบาลจีนไม่นำเรื่องการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจไปเชื่อมโยงกับการปฏิรูประบบธรรมาภิบาล
ปีเตอร์ เคนิลอเรีย จูเนียร์ สส.ฝ่ายค้านของหมู่เกาะโซโลมอนระบุว่า ด้วยเหตุนี้ จีนจึงสามารถกล่าวได้ว่า เงินกู้และเงินให้เปล่าที่จีนให้นั้น ไม่มีเงื่อนไขผูกพัน แม้ว่าอาจจะมีประเด็นทางการเมืองมาเกี่ยวข้องก็ตาม และทำให้จีนกลายเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่น่าดึงดูดใจ สำหรับประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด
ขณะเดียวกัน บรรดารัฐบาลของชาติหมู่เกาะแปซิฟิกก็มีความคาดหวังจากการเยือนของรัฐมนตรีต่างประเทศจีนเช่นกัน โดยต้องการการสนับสนุนจากจีนในหลายด้าน ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังยุคโควิด-19 โดย วิลลี จิมมี อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศวานูอาตู เผยกับอัล จาซีรา ว่า เขายินดีกับการเยือนของนายหวัง และยินดีกับโครงการต่างๆ ที่จะมีการประกาศเพื่อช่วยรัฐบาลและประชาชนของวานูอาตูเพราะผู้บริจาครายอื่นๆมักไม่ทำโครงการอะไรหากไม่ได้เกี่ยวข้องกับนโยบายต่างประเทศของพวกเขา แต่จีนยังเลือกทำเรื่องเหล่านี้ เขายังกล่าวด้วยว่า การสร้างถนนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของวานูอาตู ซึ่งมีเกาะที่ไม่มีคนอาศัยอยู่อีก 65 เกาะนั้นไม่ง่ายเลยจากการที่เกาะอยู่กระจัดกระจายและมีปัญหาการเมืองภายใน ดังนั้น นี่จึงเป็นเรื่องคนท้องถิ่นยินดี และเขาสนับสนุนความคิดริเริ่มของจีน ที่จะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก
อีกหนึ่งความกังวล คือความคลางแคลงใจต่อเจตนาของจีนในการเข้ามาขยายอิทธิพลในแปซิฟิก แม้จีนยืนยันมาตลอดว่า ทำด้วยความจริงใจก็ตาม แต่จากกรณีที่คิริบาตีมีแผนการพัฒนาทางวิ่งของเครื่องบิน ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจีนอาจกำลังมีแผนสร้างฐานทัพที่นั่น แต่คิริบาตีออกมาปฏิเสธเรื่องนี้แล้ว ว่าไม่เคยมีข้อเสนอแบบนี้
ไบรอัน ออร์ม อดีตโฆษกพรรคฝ่ายค้านของคิริบาตีกล่าวว่า ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของคิริบาตีได้รับเสียงสนับสนุนจากสาธารณชนอย่างมากและสามารถผลักดันให้มีข้อตกลงด้านความมั่นคงกับจีนได้หากเขาต้องการ และเขาเชื่อว่าจีนมีแผนสร้างฐานทัพสองแห่งในคิริบาตีด้วย ซึ่งจะอยู่ใกล้สหรัฐฯมาก โดยคิริบาตีไม่มีฝ่ายค้านที่แท้จริง ดังนั้น จะไม่มีการคัดค้านอะไร
ทั้งนี้ สหรัฐฯ และบรรดาชาติพันธมิตรต่างไม่นิ่งนอนใจ นอกจากจะส่งรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ และออสเตรเลียมาเยือนแล้ว ผู้นำสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ยังประชุมร่วมกับผู้นำญี่ปุ่นและอินเดีย ในการประชุมกลุ่ม Quad ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย ทำให้การแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีน กับสหรัฐฯและพันธมิตรนั้น ในทางทฤษฎี อาจช่วยให้บรรดาชาติแปซิฟิกได้ดีลที่ดีที่สุดก็เป็นได้และนักวิเคราะห์ยังเชื่ออีกว่า สหรัฐฯ และจีนจะสามารถทำงานร่วมกันได้ในเรื่องที่สำคัญและน่ากดดันมากที่สุด นั่นก็คือ ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นประเด็นที่การมัวแต่แข่งขันกัน ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใดเลย
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี