สิว (Acne) คือการอักเสบของผิวหนัง ที่เกิดการอุดตันของน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วที่บริเวณรูขุมขน จนเกิดการอักเสบ บวมแดง หรือมีหนอง พบมากบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก และไหล่
สิวมีหลายรูปแบบ เช่น สิวหัวดำ สิวหัวขาว สิวหัวหนอง เป็นต้น สาเหตุหลักๆ เกิดจากการผลิตน้ำมันที่ชั้นผิวหนังมากเกินไป ผสมกับเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วไปอุดตันรูขุมขน ร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้สิวเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยรุ่น โดยทั่วไปสิวเป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงต่อร่างกาย แต่ผู้เป็นสิวมักวิตกกังวลกับภาพลักษณ์ของตน จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจ ความมั่นใจ และคุณภาพชีวิต
การรักษาสิว ทำได้หลายวิธี ขึ้นกับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ การรักษาโดยเบื้องต้นคือใช้ยารักษาสิว ยารักษาสิวมีทั้งยาใช้ภายนอกและยารับประทาน โดยทั่วไปถ้าสิวที่เกิดขึ้นไม่ได้รุนแรงมาก การรักษาจะเน้นไปที่ยาใช้ภายนอกหรือยาทาเป็นหลัก ยาที่ใช้บ่อยมี 2 กลุ่มหลัก คือ ยาปฏิชีวนะ ซึ่งมักใช้ในรูปแบบโลชั่นน้ำใส หรือเจลแต้ม ตัวยาที่นิยมใช้ ได้แก่ clindamycin ใช้ทาเฉพาะบริเวณที่มีสิวอักเสบ วันละ 2-3 ครั้ง ส่วนอาการข้างเคียงที่พบบ่อย เช่น คือ ผิวลอก แสบผิว ส่วนยาทาสิวอีกกลุ่มที่ใช้บ่อยคือ ยาทาที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบครีมหรือเจล
แต่ในกรณีที่มีสิวมาก วิธีใช้อาจต่างจากยาปฏิชีวนะคือ ให้ใช้ทาบางๆ ทั่วใบหน้า วันละ 1-2 ครั้ง ตัวอย่างยาที่นิยมใช้ เช่น benzoyl peroxide, retinoic acid เป็นต้น ยากลุ่มนี้ก็มีอาการข้างเคียงเช่นเดียวกัน แต่อาจจะรุนแรงกว่ายากลุ่มปฏิชีวนะ ได้แก่ อาการระคายเคืองผิวหนัง ผิวลอก เป็นต้น
ขอย้ำว่าสิวเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย แต่มักไม่รุนแรงจน ไม่ทำให้ผู้ป่วยต้องไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล แต่เมื่อเป็นสิวก็มักไปหาซื้อยาจากร้านยาทั่วไป แต่ควรซื้อยาจากร้านที่มีเภสัชกรให้คำแนะนำการใช้ยาอย่างถูกต้องครบถ้วนเท่านั้น เพราะวิธีการใช้ยาทารักษาสิวมีรายละเอียดปลีกย่อยที่สำคัญ เช่น ยา benzoyl peroxide ชนิดเจลสำหรับทา วิธีใช้ยา ควรล้างมือและผิวหนังบริเวณที่ต้องการทายาให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง จากนั้นทายาบางๆ ลงบนผิว โดยทั่วไปในช่วงเริ่มต้นจะให้ทาทิ้งไว้ 5-15 นาทีแล้วล้างออก กรณีที่ทนต่อยาได้มากขึ้นอาจให้ทาทิ้งไว้ทั้งคืนและล้างออกในช่วงเช้าหลีกเลี่ยงการทายาบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนๆ เช่นริมฝีปากหรือเปลือกตา หากยาเข้าปาก ตา หรือจมูก ต้องรีบล้างออกด้วยน้ำเปล่า และห้ามใช้ยานี้กับผิวหนังบริเวณที่ไหม้แดด ผิวแห้งแตก ระคายเคือง ถลอก หรืออักเสบ ต้องรอให้บริเวณดังกล่าวหายดีก่อนใช้ยา
นอกจากนี้ ยาอาจกัดสีผมหรือเสื้อผ้าได้ จึงต้องไม่ให้ตัวยาสัมผัสเส้นผมหรือเสื้อผ้า รวมทั้งของใช้อื่น ๆ
ยาเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์อาจทำให้ผิวบอบบางลงและไวต่อแสงแดดได้ ระหว่างใช้ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน หรือใช้ครีมกันแดดร่วมด้วย
ยาทาอีกชนิดคือยาครีม retinoic acid มีวิธีการใช้ดังนี้ ก่อนใช้ให้ทำความสะอาดใบหน้า เช็ดหน้าให้แห้ง รอประมาณ 20 นาทีแล้วจึงทายา ล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนและหลังใช้ยา บีบยาประมาณเท่าเม็ดถั่วเขียวลงบนปลายนิ้ว ทาลงบนใบหน้าตรงบริเวณที่เป็นสิวบางๆ หลีกเลี่ยงการทายาใกล้ๆ จมูก ปาก และรอบดวงตา ตามปกติการใช้ยา retinoic acidมักใช้เพียงวันละ 1 ครั้งก่อนนอน และสามารถใช้ร่วมกับยา bezoyl peroxide เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ซึ่งการใช้ร่วมกันมักจะใช้ benzoyl peroxide ในตอนเช้า และ retinoic acid ช่วงก่อนนอน
การใช้ยาทาจะเริ่มเห็นผลหลังจากเริ่มต้นใช้ไปแล้วประมาณ 4 สัปดาห์ โดยในสัปดาห์แรกอาจมีอาการสิวเห่อรุนแรงมากขึ้น แต่เป็นผลจากยาเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ยารักษาสิวชนิดรับประทานหลักๆ มีสองกลุ่มคือ กลุ่มยาปฏิชีวนะ และกลุ่มอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ ซึ่งทั้งสองชนิดมีที่ใช้เมื่อเป็นสิวที่มีอาการรุนแรง สำหรับยากลุ่มอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ และไม่มีจำหน่ายในร้านยา เนื่องจากมีผลข้างเคียงและข้อควรระวังหลายประการ ที่สำคัญที่สุดคือเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ผู้ใช้ยาจึงควรคุมกำเนิดก่อนรับประทานยาอย่างน้อย 3 เดือนและคุมกำเนิดตลอดระยะเวลาที่ใช้ยา ควรหยุดยาล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือนถึง 1 ปี ก่อนตั้งครรภ์ หรือก่อนวางแผนตั้งครรภ์
ส่วนยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาสิว แม้จะสามารถซื้อได้จากร้านยา แต่การพิจารณาว่าจะเริ่มใช้เมื่อใด ใช้ยาวนานเท่าใด ควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้ป่วยไม่ควรตัดสินใจใช้หรือหยุดเองเพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเชื้อดื้อยาหรือการแพ้ยาแล้ว ยังมีผลข้างเคียงอีกหลายประการ อาทิ การติดเชื้อราในช่องปากหรือช่องคลอด หรืออาการท้องเสีย เป็นต้น
นอกจากนั้นในสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่กำลังใช้ยาคุมกำเนิด การใช้ยาปฏิชีวนะจะทำให้ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดลดลง จะเห็นได้ว่าการใช้ยารับประทานเพื่อการรักษาสิว ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย
ข้อควรระวังเพิ่มเติมสำหรับการใช้ยารักษาสิวชนิดทาภายนอกคือยาส่วนใหญ่มีฤทธิ์ระคายเคืองผิวหนังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้นการใช้ทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น ผู้ใช้ยาจึงควรงดเว้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว งดการขัดผิว เลี่ยงแสงแดดจัด ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดร่วมด้วย
นอกจากการใช้ยารักษาสิวแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างยังจำเป็นเพื่อลดการเกิดสิวใหม่ และลดความรุนแรงของสิวที่เป็นอยู่ เช่น การรักษาความสะอาดของบริเวณผิวที่เป็นสิวอย่างอ่อนโยนอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น รวมทั้งหลังการออกกำลังกายหนัก หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่เป็นสิว ไม่ว่าจะเป็นการลูบ แคะ แกะ เกา
กรณีเป็นสิวที่ใบหน้า ควรงดใช้เครื่องสำอางหรือเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่อุดตันรูขุมขน นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดและบำรุงผมก็ควรพิจารณาเลือกให้เหมาะสมด้วยเช่นกัน เนื่องจากผมเป็นส่วนที่สัมผัสกับบริเวณที่เป็นสิวและทำให้อาการของสิวรุนแรงมากขึ้นได้
โดยสรุป สิวเป็นปัญหาที่พบบ่อย ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่รบกวนจิตใจและการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย สามารถรักษาขั้นต้นด้วยยาทาซึ่งมีให้เลือกใช้หลายชนิด กรณีที่อาการไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยาไปแล้ว 6-8 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อพิจารณาว่าจำเป็นต้องใช้ยารับประทานหรือไม่ และการใช้ยามีรายละเอียดปลีกย่อยที่ผู้ป่วยต้องทำความเข้าใจเพื่อการใช้ยาที่ถูกต้องก่อนใช้
ผศ.ภญ.ดร.ณัฎฐดา อารีเปี่ยม
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี