สปป.ลาวกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าในหลายๆ ด้าน จนทำให้รัฐบาลสปป.ลาวประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มีผล 1 สิงหาคมนี้ แต่จะเพียงพอที่จะกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญได้จริงหรือ?
สำนักนายกรัฐมนตรีของ สปป.ลาว ประกาศเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า รัฐบาลจะขึ้นค่าแรงรายเดือนขั้นต่ำเป็น 1 ล้าน 2 แสนกีบ (ประมาณ 2,800 บาท) และในวันที่ 1 พฤษภาคมปีหน้าจะขยับขึ้นเป็น 1 ล้าน 3 แสนกีบ (ประมาณ 3,000 บาท) แถลงการณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ระบุว่า การปรับขึ้นค่าแรงรายเดือนขั้นต่ำมีขึ้นเพื่อเร่งแก้ปัญหาความเปราะบางของเศรษฐกิจมหภาคและทำให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติมาตรการดังกล่าวจะช่วยเหลือประชาชนหลายล้านคนที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดขณะเศรษฐกิจตกต่ำในปัจจุบันซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าบริการปรับตัวสูงขึ้น
มติดังกล่าวของรัฐบาลยังกำหนดให้เจ้าของโรงงานเสื้อผ้าและโรงงานประเภทอื่นๆ ต้องปฏิบัติตามมาตรการค่าแรงขั้นต่ำใหม่ โดยนายจ้างจะถูกดำเนินคดีหากไม่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำใหม่แก่ลูกจ้าง แต่มาตรการนี้ไม่ครอบคลุมเจ้าหน้าที่รัฐบาลซึ่งได้รับเงินเดือนในระดับแตกต่างกัน
สำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่า สหพันธ์แรงงาน สปป.ลาวต้องทำงานร่วมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือประเด็นสัญญาจ้างงานรายบุคคลหรือเหมารวม ค่าแรง นโยบาย และผลประโยชน์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เผยว่านายจ้างควรเห็นอกเห็นใจแรงงานและช่วยพวกเขายกระดับการใช้ชีวิต เนื่องจากบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ช่วยนายจ้างสร้างผลกำไร
อย่างไรก็ดี ชาวลาวหลายคนมองว่าการปรับขึ้นค่าแรงในครั้งนี้ น้อยเกินไป เนื่องจากตอนนี้อัตราเงินเฟ้อของลาวพุ่งสูง โดยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อของลาวอยู่ที่ร้อยละ 12.8 สูงที่สุดในรอบ 18 ปี นอกจากนี้ ราคาอาหารและสินค้าจำเป็นหลายชนิดทุกอย่างล้วนแพงขึ้น อีกทั้งยังประสบปัญหาขาดแคลน เช่นเดียวกับเงินกีบก็อ่อนค่า อัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ผ่านมา 1 บาทแลกได้ 426 กีบ ส่วนรายได้ขั้นต่ำที่รัฐบาลกำหนดไว้ ไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีพ เพราะยังถือน้อยกว่าข้อเสนอของสหภาพแรงงานของ สปป.ลาวที่ต้องการให้ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1 ล้าน 5 แสนกีบ(ประมาณ 3,500 บาท) และว่าในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา รัฐบาล สปป.ลาว ได้ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพียง 2 ครั้ง
ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ชาวลาวจำนวนมากไปขอทำหนังสือเดินทางเพราะต้องการเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย รวมถึงชาวลาวที่ต้องการเข้ามาท่องเที่ยวและซื้อสินค้ากลับไปขายใน สปป.ลาว โดยที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหนองคาย มีรายงานว่ามีชาวลาวเดินทางเข้ามาในฝั่งไทยวันละ 1,000- 1,500 คน ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์จะเพิ่มเป็น 2,000 คน
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ ไทม์ส รายงานโดยอ้างอิง นายเพ็ช พรหมพภิรักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและป่าไม้ของ สปป.ลาวระบุว่า สปป.ลาวทำรายได้จากการส่งออกสินค้าทางการเกษตรช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ รวมอยู่ที่มากกว่า 870 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 30,600ล้านบาท) หรือ คิดเป็นร้อยละ 72.57 ของเป้าหมายตลอดทั้งปี สินค้าเกษตรส่งออกที่สำคัญของลาวได้แก่ กล้วย ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย รวมถึงปศุสัตว์ทั้งโคและกระบือ โดยมีจีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและป่าไม้ของ สปป.ลาว ระบุด้วยว่า รัฐบาลจะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศลงทุนด้านการเกษตรเพื่อกระตุ้นการส่งออก ส่วนสำหรับปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านเครื่องจักร ปุ๋ย และอาหารสัตว์ล้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากสินค้าเหล่านี้นำเข้ามาจากต่างประเทศและต้องชำระเงินเป็นสกุลเงินต่างประเทศ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากสกุลเงินกีบอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องนั้น รัฐบาล สปป.ลาว กำลังเร่งแก้ไขด้วยการส่งเสริมให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์และอาหารสัตว์ที่ผลิตในท้องถิ่น เพื่อลดต้นทุนการนำเข้า
หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ ไทมส์รายงานว่า สปป.ลาว มีโอกาสมหาศาลในการเพิ่มผลผลิตพืชผลเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยังจีน เนื่องจากขณะนี้ทางรถไฟจีน-สปป.ลาว สามารถขนส่งสินค้าที่เน่าเสียได้ อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น และการส่งออกที่เติบโต ทำให้สปป.ลาวได้รับเงินสกุลต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพของค่าเงินกีบ ทั้งนี้ ลาวสร้างรายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2021 อยู่ที่มากกว่า 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.17 หมื่นล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 82 ของตัวเลขที่ลาวตั้งเป้าไว้สำหรับปีก่อน
ในส่วนของภาคการเมือง มีการขยับเพื่อหาทางพลิกฟื้นวิกฤตเศรษฐกิจเช่นกัน โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชุมสภาแห่งชาติ สปป.ลาว ได้มีมติเห็นชอบ
ตามคำเสนอของนายกรัฐมนตรี พันคำวิพาวัน ให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี ที่สำคัญคือ โยกย้าย สอนไซ สิดพะไซ ผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว ไปเป็นรัฐมนตรีประจำห้องว่าการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยแต่งตั้งให้บุนเหลือ สินไซวอละวงรองรัฐมนตรีกระทรวงการเงิน มาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว แทน และโยกย้าย คำแพง ไซสมแพง รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ไปเป็นรัฐมนตรีประจำห้องว่าการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยแต่งตั้งให้ มะไลทอง กมมะสิดประธานองค์การตรวจสอบแห่งรัฐ มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า แทน
การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้เพื่อต่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจที่ลาวต้องเผชิญต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้ว อันเนื่องมาจากภาวะเงินเฟ้อ ค่าเงินกีบตกต่ำ ค่าครองชีพประชาชนเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากสินค้าทุกรายการขึ้นราคา กลายเป็นวิกฤตการเงิน ทั่วประเทศเกิดภาวะขาดแคลนเงินตราต่างประเทศโดยเฉพาะเงินดอลลาร์สหรัฐ ถึงกับทำให้ไม่มีเงินดอลลาร์เพียงพอสำหรับการสั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศเข้าไปสนองความต้องการใช้ของประชาชน ส่งผลให้น้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศขาดตลาด เกิดภาพการต่อคิวเติมน้ำมันตามหน้าปั๊มทุกแห่งเป็นที่โกลาหลไปทั่วประเทศ ต่อเนื่องมากว่า 2 เดือนแล้ว
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี