ในช่วงเวลาเพียง 10 วัน ที่ผ่านมา เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคมอเมริกามากมาย จากการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงสิทธิการทำแท้ง อย่างไรก็ดี การตัดสินใจดังกล่าวไม่ได้มาจากประธานาธิบดีหรือสภาคองเกรสแต่มาจากคณะผู้พิพากษาศาลสูง ที่ตอนนี้ใช้อำนาจสิทธิขาดตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนอย่างแท้จริง
แม้ปัจจุบัน พรรคเดโมแครต จะมีอำนาจคุมทั้งทำเนียบขาว รวมถึงทั้งสภาล่างและสภาสูง แต่ก็มีเสียงไม่มากพอที่จะลงมติผลักดันร่างกฎหมายสำคัญๆ ได้อย่างที่อยากทำ แต่กลับกลายเป็นคำวินิจฉัยหลายชุดของคณะผู้พิพากษาศาลสูง ที่กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในตอนนี้ศาลสูงกำลังเปลี่ยนแปลงอเมริกาแต่เป็นไปในทางที่แตกต่างไปจากที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ คาดการณ์ไว้
คำวินิจฉัยของศาลสูงสหรัฐฯ ที่คว่ำสิทธิในการทำแท้งของสตรีอเมริกันมานานเกือบครึ่งศตวรรษ หรือที่เรียกว่าคดี Roe v Wade อาจสร้างความโกรธแค้นให้กับกลุ่มผู้สนับสนุนการทำแท้ง แต่ก็สร้างความยินดีให้กลุ่มต่อต้านการทำแท้งที่เคลื่อนไหวกันมานานกว่า 50 ปีกว่าจะมีวันนี้ แต่แทนที่จะทำให้เรื่องทุกอย่างยุติ คำวินิจฉัยของศาลสูงกลับนำมาซึ่งการฟ้องร้องในหลายรัฐทั่วประเทศสะท้อนว่าจะเกิดการต่อสู้ทางกฎหมายในประเด็นนี้ต่อไปอีกหลายปี
คำวินิจฉัยเรื่องการทำแท้งของศาลสูงสหรัฐฯ อาจเป็นที่สนใจมากที่สุด แต่ก็ยังมีการตัดสินใจและคำวินิจฉัยอื่นๆ อีกเช่นกัน ที่ส่งผลกระทบกับโลกโดยตรง
คำตัดสินสุดท้ายของคณะผู้พิพากษาศาลสูงก่อนที่จะหมดวาระในรอบนี้ ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯไม่สามารถผ่านกฎหมายใดๆ ที่เป็นเรื่องนโยบายสีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อมได้อีก จากการตัดสินว่า สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EnvironmentalProtection Agency-EPA) ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการกำหนดมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก หากสภาคองเกรสไม่กำหนดเป็นข้อกฎหมายให้ปฏิบัติตามโดยชี้ว่าแต่ละรัฐมีอำนาจตัดสินใจด้วยตัวเอง
เรื่องนี้ทำให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งให้คำมั่นก่อนรับตำแหน่งว่าจะผลักดันนโยบายเพื่อสิ่งแวดล้อมและแก้ไขปัญหาโลกร้อนหนักใจอย่างยิ่ง เพราะเขารู้ดีว่ารัฐบาลไม่มีเสียงมากพอที่จะผ่านร่างกฎหมายเพื่อบังคับให้บริษัทพลังงานต่างๆโดยเฉพาะบริษัททำเหมืองถ่านหินเปลี่ยนจากการใช้ถ่านหินที่สุดแสนจะสกปรก มาใช้แหล่งพลังงานสะอาดอื่นๆ เพื่อผลิตไฟฟ้า
ไม่ใช่แค่ประเด็นนี้เท่านั้น ที่ศาลสูงออกมางัดข้อกับผู้นำประเทศ
สัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีไบเดนเพิ่งลงนามในกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่มีความสำคัญฉบับแรกที่สภาคองเกรสลงมติรับร่างในรอบกว่า 30 ปี ซึ่งเกิดขึ้นหลังเหตุกราดยิงครั้งใหญ่ 2 เหตุการณ์ในเดือนเดียว รวมถึงเหตุกราดยิงโรงเรียนประถมศึกษาในรัฐเท็กซัส จนทำให้นักการเมืองจากทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน ยอมผ่านร่างกฎหมายชุดใหม่เพื่อควบคุมอาวุธปืนให้เข้มงวดยิ่งขึ้น แม้เนื้อหาในร่างกฎหมายนี้ จะไม่ได้ถึงกับเพิ่มความเข้มงวดเรื่องอาวุธปืนแบบที่หลายคนอยากให้เป็น แต่นี่ก็ถือเป็นการผ่านกฎหมายอาวุธปืนครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ทั้งนักการเมืองสองพรรคยอมทิ้งความเห็นต่างลงมติร่วมกันผลักดัน
อย่างไรก็ดี ชัยชนะเรื่องนี้ก็ต้องถูกกลบด้วยคำตัดสินของศาลสูง ที่คว่ำร่างกฎหมายเรื่องอาวุธปืนของรัฐนิวยอร์ก ที่เพิ่งสั่งห้ามการพกพาอาวุธปืนไปในสถานที่สาธารณะหากไม่มีใบอนุญาต นั่นแปลว่า ในวันเดียวกับที่กฎหมายควบคุมอาวุธให้เข้มงวดขึ้นผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสศาลสูงสหรัฐฯ กลับมีคำตัดสินที่ลดทอนอำนาจจากหลายรัฐ ที่หวังควบคุมการครอบครองอาวุธปืนของประชาชน
คำวินิจฉัยเหล่านี้ ทำให้ศาลสูง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลที่ควรมีความยุติธรรมที่สุด และคำนึงถึงพวกพ้องน้อยที่สุด กำลังถูกมองจากภายนอกว่าทำอะไรให้เป็น “การเมือง”ไปเสียทุกเรื่อง
ผลสำรวจเมื่อไม่นานมานี้พบว่าสาธารณชนเริ่มหงุดหงิดกับคำวินิจฉัยของศาลมากขึ้นเรื่อยๆ กว่า 2 ใน 3ของชาวอเมริกัน ไม่อยากให้ยกเลิกสิทธิในการทำแท้งของผู้หญิงไปทั้งหมดและกว่าร้อยละ 60 อยากเห็นกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดกว่านี้
ขณะที่ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลสูงก็เริ่มลดน้อยถอยลง ผลสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ชี้ว่า ชาวอเมริกันเพียง1 ใน 4 เท่านั้นในตอนนี้ ที่ยังหลงเหลือความเชื่อมั่นต่อคำวินิจฉัยต่างๆ ของศาลสูง
สิ่งนี้ สะท้อนความเห็นของซอนยา โซโตมายอร์ เคยออกปากเตือนไว้ตอนที่ศาลสูงเริ่มไต่สวนกรณีคำตัดสินทำแท้งว่า “ศาลสูงจะรอดพ้นจากเสียงซุบซิบนินทาของผู้คนในตอนนี้ที่กำลังเชื่อว่าทั้งศาลสูงและคำวินิจฉัยต่างๆ ที่ออกมา เป็นเรื่องการเมืองมากกว่าคำตัดสินที่เป็นธรรมได้หรือเปล่า”
โซโตมายอร์เป็นหนึ่งในฝ่ายเสรีนิยมในคณะตุลาการศาลสูง 3 คน ที่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยคว่ำสิทธิในการทำแท้งของผู้หญิง และเตือนว่ามันจะส่งผลกระทบต่อสิทธิด้านอื่นๆเช่น สิทธิในการสมรสของคนเพศเดียวกันและสิทธิในการเข้าถึงการคุมกำเนิด
ฝ่ายเสรีนิยมในคณะตุลาการศาลสูง 3 คน ยังคงมีเสียงน้อยกว่าคณะตุลาการฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่มีจำนวน 6 คน ซึ่งในจำนวนนี้ 3 คนได้รับการแต่งตั้งเข้ามาในสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งในการทำหน้าที่วาระหน้า จะต้องมีการวินิจฉัยในอีกหลายประเด็นสำคัญ รวมถึงสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งและการแบ่งแยกกลุ่มคนรักร่วมเพศ
คำวินิจฉัยต่างๆ ของศาลสูงตลอด 10 วันที่ผ่านมา รวมถึงการตัดสินใจที่จะเกิดขึ้นกับประเด็นสำคัญอื่นๆ หลังจากนี้ ก็ไม่สามารถสมานรอยร้าวที่ยังฝังรากลึกในสังคมอเมริกันได้ อย่าลืมว่าขณะที่ชาวอเมริกันรับรู้คำตัดสินของศาลสูงเรื่องสิทธิการทำแท้ง สิทธิการครอบครองอาวุธปืนและการปกป้องสิ่งแวดล้อม พวกเขาก็ได้รับรู้รายละเอียดการไต่สวนเหตุการณ์วันที่ 6 มกราคมปีก่อน ที่ประธานาธิบดีที่กำลังดำรงตำแหน่งของพวกเขา ยุยงกลุ่มผู้สนับสนุนที่เดือดดาลและพกอาวุธ ให้เข้าไปบุกอาคารรัฐสภาด้วย
สัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวอเมริกันได้ท่องเที่ยวและเฉลิมฉลองวันหยุด เนื่องในวันชาติสหรัฐฯ 4 กรกฎาคม วันที่รัฐทั้ง 13 รัฐของประเทศประกาศอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษเมื่อ 250 ปีก่อน
แต่ในขณะเดียวกัน หลายคนอาจกำลังสงสัยใคร่ครวญว่า ประเทศของพวกเขากำลังเดินไปบนหนทางที่ถูกต้อง อย่างที่บรรดาผู้ก่อตั้งประเทศตั้งใจไว้หรือเปล่า
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี