โควิดอยู่กับเรามา 2 ปีกว่าแล้ว จากความกลัวและวิตกจนกระทั่งมีวัคซีนออกมาให้ฉีดกันเต็มแขน บางคนทำยอดทะลุไปเข็มที่ห้าที่หกกันแล้วนั้น คงต้องยอมรับกันสักทีว่า โควิดน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเราทุกคนกันแล้ว ภาครัฐเองก็ประกาศมาตรการผ่อนคลายในหลายๆ ภาคส่วนเพื่อให้การดำเนินธุรกิจต่างๆ สามารถทำได้ใกล้เคียงกับก่อนโควิด แต่เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้คนรอบตัวเราทยอยติดกันเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าจะพบคนติดมากกว่าคนไม่ติดแล้ว คนที่ติดแล้วก็ยังสามารถติดซ้ำได้อีกนอกจากนี้ การเข้าถึงยาและการรักษาดูเหมือนจะยังเป็นเรื่องยาก ทำให้หลายท่านหาซื้อยาต้านโควิดจากทางออนไลน์มากินเองหรือเก็บไว้เผื่อฉุกเฉิน เนื่องจากความกังวลว่าการรับบริการจากภาครัฐจะไม่ทันใจหรือล่าช้า
การใช้ยาต้านไวรัสต้องระมัดระวังเรื่องข้อบ่งใช้ให้รัดกุมยิ่งขึ้น การพิจารณาว่าใครจะต้องใช้ยาหรือไม่และต้องใช้ยาอะไรนั้นมีเกณฑ์ที่ชัดเจนอยู่ซึ่งผู้พิจารณาต้องเป็นแพทย์เท่านั้น เพราะการใช้ยานอกจากจะเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ยา อาการไม่พึงประสงค์จากยา ยาตีกับยาที่รับประทานอยู่เดิม รวมถึงเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเชื้อดื้อยาในอนาคต ถึงตรงนี้อาจมีคำถามว่า แล้วเมื่อไหร่จะต้องใช้ยา หรือกรณีแบบไหนจะได้รับยาอะไร ก็คือ เราจะพิจารณาเรื่องความรุนแรงของอาการและปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยเข้าด้วยกัน และในผู้ป่วยบางราย ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน อาจมีความจำเป็นต้องใช้ยาฉีดสำหรับต้านไวรัสเรมเดซิเวียร์ การจะซื้อยามากินเองรังแต่จะทำให้การรักษาที่ถูกต้องเป็นไปได้ช้า และไม่ส่งผลดีใดๆ เลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น หากจะใช้ยาต้านไวรัสไม่ว่าจะเป็น ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ หรือจะเป็นยาผสมเนิร์มาทรีเวียร์กับริโทนาเวียร์ (แพกซ์โลวิด) หรือยาฉีดเรมเดซิเวียร์ จะต้องได้รับการประเมินจากแพทย์กับเภสัชกรก่อนว่ายาที่จะใช้ไม่ตีกับยาเดิมที่ใช้อยู่ เหมาะสมกับสภาวะการทำงานของตับไตของผู้ป่วย รวมถึงต้องมีการคำนวณขนาดยาตามน้ำหนักตัวให้ผู้ป่วยได้รับอย่างถูกต้องด้วย ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นต้องการเน้นย้ำว่า การเริ่มยาต้านไวรัสใดๆ เป็นเรื่องที่ประชาชนไม่ควรตัดสินใจทำเองเป็นอย่างยิ่งเพราะอาจจะได้รับความเสี่ยงมากกว่าประโยชน์จากยานั่นเอง
การซื้อยาออนไลน์มีความเสี่ยงอย่างมากปัจจุบันพบเห็นว่ามีการขายยาโมลนูพิราเวียร์ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าตกใจ เนื่องจากยาตัวนี้ยังเป็นแค่ยาได้รับอนุญาตสำหรับใช้ในสภาวะฉุกเฉินเท่านั้น แปลว่าข้อมูลของประสิทธิผลและความปลอดภัยยังคงต้องถูกพิจารณา และเก็บข้อมูลต่อไป ความเสี่ยงหลายประการจากการซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ ออนไลน์ (รวมถึงยาชนิดอื่นๆ ด้วย) ประการแรกคือ อาจจะได้ยาปลอมหรือยาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน หรือยาที่ไม่มีคุณภาพ เนื่องจากในกระบวนการ ซึ่งอาจมาจากผู้ประกอบการบางรายที่ผลิตขึ้นมาเพื่อหวังผลกำไรจากภาวะวิกฤตตอนนี้ โดยส่วนใหญ่ ยาปลอมหรือยาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน หรือยาที่ไม่มีคุณภาพ มักจะถูกผลิตมาจากโรงงานที่ไม่มีคุณภาพ หรือเป็นโรงงานที่ผิดกฎหมาย ที่อยู่ทั้งในและต่างประเทศ นั่นแปลว่าอาจจะมีตัวยาสำคัญไม่ครบหรืออาจมีการปนเปื้อนจากสิ่งอื่นๆ ที่มาจากตัวยาสำคัญและกระบวนการผลิต ยาปลอมและยาต่ำกว่ามาตรฐานนี้มักจะพบได้ง่ายในแถบตะเข็บชายแดนของไทยและอาจจะมีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ฉะนั้นท่านที่ซื้อยาจากออนไลน์ ประการแรก ท่านอาจจะไม่ได้ตัวยาที่ท่านต้องการ ประการที่สอง ท่านอาจจะได้รับยาคุณภาพต่ำหรือยาที่เสื่อมสลายเนื่องจากการเก็บรักษาของผู้ขายที่อาจจะไม่ได้เก็บรักษาตามมาตรฐานของการเก็บยาที่ถูกต้อง รวมถึงการขนส่งด้วยอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ความร้อนความชื้นที่มาจากดินฟ้าอากาศสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ยาเกิดการเสื่อมสลาย และทำให้ปริมาณยาหรือโดสหายไป และในบางครั้งการเสื่อมสลายของยาอาจจะทำให้เกิดเป็นสารที่ทำให้เป็นพิษต่อร่างกายได้ฉะนั้นการซื้อยาออนไลน์จึงมีความเสี่ยงอย่างมาก ที่ท่านจะไม่ได้รับผลการรักษาจากยาชนิดนั้นๆ หรือท่านอาจจะได้รับพิษเสียด้วยซ้ำ
ในการใช้ยาต้านไวรัสโควิด ยาแต่ละชนิดมีข้อจำกัดการใช้ยกตัวอย่าง เช่น ยาโมลนูพิราเวียร์ จากข้อมูลที่มีอยู่ พบว่าช่วยลดการนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้เพียงร้อยละ 30 นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจเกิดอาการแพ้ รวมถึงการแพ้แบบรุนแรงได้ ในผู้ป่วยที่ต่ำกว่า 18 ปี ก็อาจเป็นพิษต่อระบบกระดูกและกระดูกอ่อนได้ ทั้งผู้ชายและผู้หญิงวัยเจริญพันธ์ุ ที่ใช้ยาตัวนี้ ถ้าเกิดการตั้งครรภ์ระหว่างการใช้ยาตัวนี้อาจทำให้ทารกเกิดความผิดปกติได้ นอกจากนั้นเองในผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ยาตัวนี้อาจจะไม่ได้ผลการรักษาอย่างที่ท่านคาดหวังได้ สำหรับยาผสมเนิร์มาทรีเวียร์กับริโทนาเวียร์ หรือแพกซ์โลวิดก็มีปัญหาในเรื่องของยาตีกับยาตัวอื่นอยู่พอสมควร ฉะนั้นการสั่งจ่ายจึงมีความจำเป็นให้แพทย์หรือเภสัชกรพิจารณาอย่างใกล้ชิด ฉะนั้นท่านจะเห็นได้ว่าการที่เราไปซื้อยามาเอง (ซึ่งอาจจะได้ยาที่ไม่มีคุณภาพเสียด้วยซ้ำ) ท่านอาจจะไม่ได้รับประโยชน์จากการรักษา รวมถึงการได้รับอันตรายจากการใช้ยาอีก คงต้องเป็นภารกิจที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งของภาครัฐที่ต้องจัดหายาเหล่านี้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณความต้องการของผู้ป่วยที่จะเกิดขึ้นในประเทศ การคาดการณ์ที่ดี และการบริหารจัดการมีความจำเป็นอย่างสูง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือภาครัฐต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ว่าพวกท่านสามารถจะบริหารจัดการเรื่องเหล่านี้ให้กับประเทศได้ ท้ายสุด mRNA วัคซีนเข็มกระตุ้นมีความจำเป็นอย่างสูง และมีผลช่วยลดการเจ็บหนักและเสียชีวิตได้มากกว่ายาบางชนิดเสียด้วยซ้ำ บวกกับการใส่หน้ากากในสถานที่ ที่ไม่มีอากาศถ่ายเทไม่ดี การล้างมือบ่อยๆ คงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินอยู่เพื่อลดการแพร่กระจายของโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งปกป้องคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บหนัก หรือภูมิคุ้มกันต่ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี