กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี จัดงาน “Sustainability Day 2022” นำทีมคณะผู้บริหารในกลุ่มบริษัทตั้งเป้าเป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนำของประเทศไทยที่มุ่งมั่นในการลดโลกร้อน พร้อมประกาศเจตนารมณ์ว่าด้วย “การป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” อาทิ เพิ่มมาตรการเพื่อรับมือกับปัญหาอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วัดผลและมุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท และส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างยั่งยืนทุกมิติ ณ ห้องประชุม ชั้น 6 อาคาร Big C House
นายอัศวิน และ นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี กล่าวว่า “ที่ผ่านมา กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน สังคม โดยบริษัทฯตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในอีก 28 ปีข้างหน้าหรือปี 2050 ซึ่งในปีนี้ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เป็นหนึ่งในองค์กรที่ ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้นำ องค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืนระดับโลกระดับ Silver Class จากบริษัท S&P Global ใน The Sustainability Yearbook 2022”
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มีนโยบายความยั่งยืนครอบคลุมอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการจัดทำฐานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยทุกกลุ่มธุรกิจให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาด เช่น การใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ จากการติดตั้ง Solar Roof และเน้นเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน โดยนำเทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยลดการใช้พลังงานที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตหรือการดำเนินงานมาใช้ เช่น การใช้ AI เพื่อควบคุมการใช้พลังงาน เป็นต้น
ทั้งนี้ แต่ละกลุ่มธุรกิจหลัก ยังให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆ เพิ่มเติม ประกอบด้วย 1.ธุรกิจสินค้าบรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋อง ให้ความสำคัญกับการนำบรรจุภัณฑ์กลับมารีไซเคิลเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่ เป็นการหมุนเวียนทรัพยากรเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยกลุ่มธุรกิจแก้วมีการนำเศษแก้วกลับมารีไซเคิลใหม่เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งช่วยลดการเกิด GHG ได้ 193,606 tCo2 ต่อปี มีการขยายการติดตั้ง Solar Roof เพื่อใช้พลังงานสะอาดแทนการใช้เชื้อเพลิง ปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิต ใช้เตาหลอมแบบ Hybrid เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือก และวางแผนเปลี่ยนรถยนต์บริษัทเป็นไฟฟ้า 100% ในปี 2030 และธุรกิจกระป๋อง ที่เน้นเพิ่มอัตราการใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล จากปัจจุบันมีการใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิลประมาณ 70% โดยวางแผนเพิ่มเป็น 85% ในอนาคต ทั้งนี้ในปี 2021 มีการเก็บกระป๋องกลับมารีไซเคิลได้มากกว่า 22,465 ตัน นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการผลิตด้วย
2.กลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริษัทมีนโยบายที่เน้นเรื่องการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศ ที่ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในสโตร์ และประหยัดพลังงานไฟฟ้าสะสมการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อทำความสะอาดท่อแลกเปลี่ยนความร้อนของน้ำหล่อเย็นของระบบปรับอากาศ(Ball Technic) ซึ่งเป็นมาตรการที่ได้รับการสนับสนุนจาก กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน และสมาคมวิศวกรรมปรับอากาศแห่งประเทศไทย ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า และมีผลประหยัดพลังงานไฟฟ้าสะสม 210 ล้านบาท ส่งผลให้สามารถลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้ไฟฟ้า (GHGscope 2) ได้ 33,974 TonCo2eq (จำนวน 174 สาขา) ทั้งนี้วางแผนงานขยายโครงการ ในปี 2022-2023 อีก 10 สาขา คาดว่าจะประหยัดค่าพลังงานไฟฟ้าลงได้ 2.14 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อย GHG ได้ 313 ตันต่อปี
3.ธุรกิจสินค้าอุปโภค-บริโภค นอกจากการติดตั้งแผงโซลาร์ เพื่อใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ช่วย
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แล้ว ยังส่งเสริมให้มีการใช้วัตถุดิบหมุนเวียนมีการนำน้ำจากกระบวนการผลิตมาผ่านการกรองและนำกลับไปใช้ซ้ำ รวมถึงให้ความสำคัญอย่างมากกับการใช้บรรจุภัณฑ์ เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีมาจากวัตถุดิบที่รีไซเคิลแล้ว 100% การลดการใช้พลาสติกสำหรับสบู่อาบน้ำ เป็นต้น
4.ธุรกิจสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม เปลี่ยนการขนส่ง นำเข้ายาและเครื่องมือทางการแพทย์ มาใช้ทางเรือเป็นหลัก (ทางเครื่องบินเสริมได้กรณีเร่งด่วน) ตรวจสอบสินค้าที่ส่งมาจากต่างประเทศก่อนที่จะรับเข้าระบบคลังสินค้าโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตรวจสอบสภาพเพื่อความถูกต้องของสินค้าผ่าน Mobile Application เป็นต้น
และ 5.ธุรกิจโลจิสติกส์ นำระบบบริหารการขนส่งมาใช้เพื่อช่วยวางแผนเส้นทางขนส่งให้มีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนประมาณ 500,000 บาทต่อปี และลดปริมาณการปล่อย GHG ได้ 6.7 TonCo2 ต่อเดือนจากระยะทางรวมที่ลดลงประมาณ 40,742 กม.ต่อเดือน และการวางแผนเส้นทางขนส่งสำหรับทีมขายยังช่วยลดจำนวนวันที่ใช้ในการเยี่ยมร้านค้าได้อีกประมาณ 13-50% และลดระยะทางวิ่งประมาณ 15-30% เป็นต้น นอกจากนี้ยังลดปริมาณการใช้กล่องโฟมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลลง 70% เนื่องจากกล่องโฟม ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ในธรรมชาติ หากต้องกำจัดต้องนำไปเผาซึ่งจะทำให้เกิด GHG ทำให้ลดต้นทุนการจัดส่งลงได้ ประมาณ 280,000 บาทต่อปี
ขณะเดียวกัน กลุ่มบีเจซี บิ๊กซีได้ร่วมจัดบูธในงานมหกรรมด้านความยั่งยืนระดับอาเซียน “Sustainability Expo 2022” ที่เพิ่งปิดฉากลงไป เปิดบูธให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์จริงในโซน Better Living ในธีม Highway to Net Zero ประกอบด้วย การมุ่งสู่การเป็นองค์กร Carbon ต่ำ บริหารธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (CEMS) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน และใช้เทคโนโลยี High Energy Efficiency เพื่อเป้าหมายการเป็น Net Zero Company ในปี 2050
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี