ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่มักจะแต่งงานและมีลูกช้า การวางแผนครอบครัวเพื่อชีวิตที่สมบูรณ์ในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญที่คุณสาวๆ
ไม่ควรละเลย ข้อมูลจาก นพ.วรวัฒน์ ศิริปุณย์ สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ แพทย์ประจำ VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า ทั่วโลกมีการประเมินความชุกของภาวะมีบุตรยาก ซึ่งจะพบมากขึ้นตามอายุของฝ่ายหญิงเป็นหลัก โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่อายุมากกว่า 35 ปี ขึ้นไป สามารถพบภาวะมีบุตรยาก ได้ถึงร้อยละ 25 สำหรับคุณผู้หญิง ปัญหาจะเป็นไปตามกายภาพตั้งแต่รังไข่ ท่อนำไข่ไข่น้อยตามอายุที่เพิ่มขึ้น ท่อรังไข่อุดตันเนื้องอกในมดลูก ฯลฯ ส่วนคุณผู้ชาย เป็นปัญหาน้ำเชื้อเป็นหลัก คือน้ำเชื้อน้อยลง น้ำเชื้อไม่สมบูรณ์ ฯลฯ แต่มีกลุ่มผู้มีบุตรยากส่วนหนึ่งนั่นคือประมาณร้อยละ 15 จะจัดอยู่ในกลุ่มที่หาสาเหตุไม่พบ ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุไว้ชัดเจนเลยว่า ภาวะมีบุตรยาก เป็นโรค ดังนั้นคนไข้ก็จะมีโอกาสเข้ารับการรักษาโรคได้ เป็นการเปิดโอกาสให้คนเข้าถึงบริการ ดังนั้น การนำเทคโนโลยีมาช่วยการเจริญพันธุ์ จะสามารถช่วยแก้ปัญหาการมีบุตรยากได้
กระบวนการในการรักษาผู้มีบุตรยากในปัจจุบัน มีดังนี้ ถ้าคู่สมรสที่แต่งงานกันมานานเกิน 1 ปี แล้วยังไม่สามารถมีบุตรได้ จะถือว่าเข้าสู่ภาวะมีบุตรยาก หากต้องการมีลูกควรจะตรวจ เพื่อหาสาเหตุ แนวทางการรักษา หรือวางแผนการมีลูกร่วมกันกับคู่สมรส ซึ่งทางการแพทย์สามารถเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้หลายทางเลือกตั้งแต่วิธีการเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งแต่ละวิธีจะเหมาะหรือแตกต่างกัน เช่น
• การฉีดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก (IUI)
• การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยรักษาด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว(IVF และ ICSI)
การฉีดอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกหรือ IUI (intrauterine insemination)
การฉีดอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกหรือ IUI สามารถทำได้ทั้งในรอบเดือนธรรมชาติที่ไม่มีการกระตุ้นไข่ หรือรอบเดือนที่ทำการกระตุ้นไข่เพื่อให้มีไข่ตกหลายฟองมากขึ้น โดยในขั้นตอนจะมีการเตรียมอสุจิโดยการปั่นเลือกเฉพาะตัวอสุจิที่มีการเคลื่อนไหวดีทำให้แก้ปัญหาการที่มีตัวอสุจิน้อยหรือมีตัวที่เคลื่อนไหวน้อยในความผิดปกติของฝ่ายชายที่ไม่รุนแรงได้ ก่อนที่จะฉีดอสุจิผ่านปากมดลูกเข้าไป อัตราการตั้งครรภ์จากการรักษาโดยวิธี IUI (การฉีดอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก) นั้นมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก เฉลี่ยการตั้งครรภ์จากการทำ IUI จะอยู่ที่ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ โดยปัจจัยที่มีผลต่อโอกาสสำเร็จจากการทำ IUI นั้นมีดังนี้
1.อายุของคู่สมรสทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายเนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้นของคู่สมรสฝ่ายหญิงจะสัมพันธ์กับคุณภาพของไข่และคุณภาพของเยื่อบุโพรงมดลูกที่ต่ำลง
2. อัตราการตั้งครรภ์จะค่อนข้างดีใน 3 รอบแรกของการรักษา จึงมีการแนะนำให้ทำไม่เกิน 4-6 รอบ หาก
ไม่มีการตั้งครรภ์ ควรแนะนำวิธีเด็กหลอดแก้ว
3. ความสมบูรณ์ของอสุจิ เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของการรักษา
การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยรักษาด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF และ ICSI) คืออะไร
• In-Vito Fertilization (IVF) การทำเด็กหลอดแก้วจะเริ่มกระบวนการด้วยการฉีดยาฮอร์โมนกระตุ้นฟองไข่เพื่อให้ได้ปริมาณมากกว่าในธรรมชาติ แล้วจึงดูดเก็บฟองไข่ออกมาผสมกับอสุจิที่แข็งแรงของฝ่ายชาย ให้เกิดการปฏิสนธิภายนอกแล้วเลี้ยงต่อจนเป็นตัวอ่อน ก่อนย้ายตัวอ่อนกลับเข้าไปในโพรงมดลูก เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ต่อไป
• Intracytoplasmic Sperm Injection (ICSI) การทำอิ๊กซี่เป็นกระบวนการปฏิสนธินอกร่างกายเช่นเดียวกับการทำเด็กหลอดแก้วโดยกระบวนการกระตุ้นฟองไข่และดูดเก็บฟองไข่เช่นเดียวกับการทำเด็กหลอดแก้วแต่ในการปฏิสนธิระหว่างไข่และอสุจิจะเป็นขั้นกว่าของการทำเด็กหลอดแก้ว โดยการคัดตัวอสุจิที่แข็งแรงและสมบูรณ์ที่สุดมาผสมกับฟองไข่ ด้วยวิธีใช้เข็มเจาะและฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง จากนั้นจึงเลี้ยงตัวอ่อนต่อจนถึงระยะบลาสโตซีสต์ ก่อนจะย้ายกลับเข้าโพรงมดลูกเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ต่อไป
ข้อดีของการทำ ICSI เมื่อเทียบกับ IVF คือ ICSI เหมาะสำหรับฝ่ายชายที่มีอสุจิน้อย หรืออสุจิมีความพิการและไม่เคลื่อนไหวสูง โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเครื่องมือที่มีความละเอียดสูง ในการคัดเลือกอสุจิตัวที่แข็งแรงสมบูรณ์ที่สุดมาใช้ผสม ซึ่งจะให้ผลสำเร็จมากขึ้น 50-60%
ทั้ง 2 วิธี นับว่าเป็นวิวัฒนาการอันก้าวหน้าที่จะช่วยแก้ปัญหาให้แก่คู่สมรสที่มีปัญหามีบุตรยาก โดยผู้รับการรักษาต้องได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะต้องมีการเตรียมตัวที่ดีทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง รวมทั้งต้องปฏิบัติตนตามคำสั่งของแพทย์ผู้ดูแลอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและเป็นการป้องกันความล้มเหลวในการทำแต่ละครั้งอีกด้วย
สำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เพิ่มการให้บริการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากสามารถเบิกจ่ายได้ เมื่อ พ.ย.2564 แต่ยังยกเว้นกรณีตั้งครรภ์แทน (อุ้มบุญ) โดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาการทำ IVF เด็กหลอดแก้ว รวมทั้งศึกษาเพิ่มเติมเทคโนโลยีใหม่
นพ.วรวัฒน์ ศิริปุณย์ แนะนำ VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร ว่า ศูนย์นี้ได้ก่อตั้งมากกว่า 15 ปี ได้ให้บริการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาเพื่อการมีบุตรสำหรับชาวไทยและชาวต่างชาติ กว่า 3,000 ราย และประสบผลสำเร็จมากกว่า 80% ต่อรอบการย้ายตัวอ่อน ประกอบกับเทคโนโลยีการฉีด PRP (Platelet-Rich Plasma) ซึ่งเป็นการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นไปในรังไข่เพื่อเพิ่มคุณภาพฟองไข่ มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและ Embryologist นักวิทยาศาสตร์ห้องปฏิบัติการเลี้ยงตัวอ่อน รวมถึงมีตู้เลี้ยงตัวอ่อน Embryoscope Plus ที่ติดกล้องไว้ในตู้ ทำให้ประเมินการเจริญเติบโตของตัวอ่อนได้ดี นอกจากนี้สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมมีลูก ช่วงอายุประมาณ 20-35 ปี ก็สามารถฝากไข่ไว้ได้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.
v-ivf.com/th/
หากไม่พร้อมตั้งครรภ์ สามารถฝากไข่ไว้ก่อนได้
การฝากไข่ เหมาะสำหรับผู้หญิงในช่วงอายุ 20-35 ปี ที่ยังไม่พร้อมมีลูกในตอนนี้ แต่วางแผนมีลูกในอนาคต โดยเก็บแช่แข็งไข่ตั้งแต่อายุยังน้อยที่ไข่มีคุณภาพดี เมื่ออายุมากขึ้นก็สามารถละลายไข่ที่คุณภาพดีมาใช้ให้ตั้งครรภ์ได้โดยจะเริ่มฉีดยากระตุ้นไข่ประมาณ 10-12 วัน และเก็บไข่ในห้องผ่าตัดเล็กเพื่อเจาะดูดไข่ผ่านทางช่องคลอดใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีเพื่อแช่แข็งเก็บไว้ในอนาคตโดยตามมาตรฐานสามารถอยู่ได้ประมาณ 10 ปี หากนานกว่านั้นสามารถเก็บได้แต่คุณภาพอาจจะเสื่อมลง ปัจจุบันกฎหมายไทยกำหนดว่าการทำ “เด็กหลอดแก้ว” ด้วยการละลายไข่ออกมาปฏิสนธิ ต้องมีการจดทะเบียนสมรสแล้วจึงจะใช้ได้
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี