พระอุบาลีมหาเถระ
เมื่อครั้งเดินทางไปศรีลังกานั้น ได้ไปที่วัดมัลวัตตุ หรือวัดบุปผาราม ซึ่งคนไทยรู้จักในชื่อวัดอุบาลี วัดนี้อยู่ในเมืองกัณฎีหรือแคนดี้ ประเทศศรีลังกา อาทิตย์นี้ขอย้อนไปตามรอย พระอุบาลีมหาเถระ แห่งกรุงศรีอยุธยา ผู้เป็นพระธรรมทูตในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ด้วยท่านเป็นผู้นำคณะสงฆ์ชุดเดียวที่เดินทางไปศรีลังกาที่ประสงค์ให้พระอุบาลีเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ ทำการอุปสมบทแก่สามเณรชาวสิงหล เพื่อสืบทอดพุทธศาสนาในศรีลังกาต่อไป ขณะนั้นคณะสงฆ์ในศรีลังกาเกือบสิ้นสมณวงศ์เหลือแต่สามเณรเพียงรูปเดียว นามว่า สรณังกร แต่ด้วยเหตุพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ กษัตริย์ศรีลังกามีความศรัทธาแรงกล้าที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับคืนสู่ศรีลังกาอีกครั้ง จึงส่งราชทูตมายังกรุงศรีอยุธยา ในปีพ.ศ.2294 พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา โปรดให้คัดเลือกพระสงฆ์ที่แตกฉานในพระไตรปิฎกและเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ประกอบด้วย พระสงฆ์ 24 รูป นำโดยพระอุบาลีมหาเถระและพระอริยมุนีมหาเถระ พร้อมทั้งสามเณรอีก 7 รูป ออกเดินทางด้วยเรือกำปั่นหลวงที่เพิ่งต่อขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นพาหนะส่งคณะสงฆ์ไทยไปลังกา เมื่อคณะไปถึงศรีลังกาคณะได้จำวัดอยู่ที่วัดบุปผาราม ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าวัดมัลวัตตะ และเป็นวัดของสังฆนายก คณะสงฆ์นิกายสยามวงศ์ คณะมัลวัตตะ อยู่ตรงกันข้ามกับวัดพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งมีทะเลสาบกั้นกลาง อยู่ในเมืองศิริวัฒนนคร (ปัจจุบันคือเมืองกัณฎี) คณะได้ให้บรรพชาอุปสมบทแก่ชาวศรีลังกาอยู่ 3 ปี พ.ศ.2295-2298 มีพระภิกษุ 700 รูป สามเณร 3,000 รูป
สถาปนาสยามวงศ์
พระอุบาลีมหาเถระนั้นเดิมพำนักอยู่ที่วัดธรรมาราม เป็นวัดเล็กๆ อยู่ระหว่างวัดท่าการ้อง กับวัดกษัตราธิราช ปัจจุบันคือตำบลบ้านป้อม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับการอาราธนาเป็นพระผู้นำไปศรีลังกา โดยพระอุบาลีเถระได้เป็นพระอุปัชฌาย์ทำการอุปสมบทสามเณรสรณังกรเป็นพระสรณังกร (ต่อมาคือพระสังฆราชรูปแรกแห่งสยามวงศ์) และกุลบุตรชาวสิงหลเป็นพระภิกษุจำนวน มากจนสามารถสืบทอดพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน โดยพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ เป็นองค์ศาสนูปถัมภกพระพุทธศาสนาตลอดมา
ภาพเขียนการสถาปนาสยามวงศ์ในลังกา
พระอุบาลีมหาเถระนั้นได้ริเริ่มให้มีการจัดเทศกาลแห่พระเขี้ยวแก้ว (เอสาละ เปราเหรา) ในเมืองกัณฎีขึ้น จนเป็นประเพณีที่มีชื่อเสียงและถือเป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนาของศรีลังกาที่รู้จักกันทั่วไป ครั้งนั้นพุทธศาสนาจากสยามโดยการอุปสมบทของพระอุบาลีเถระนั้นมีความมั่นคงจนเป็นนิกายสำคัญขึ้นในศรีลังกา คือ พุทธศาสนา “สยามวงศ์” หรือ “สยามนิกาย” ซึ่งเป็นหนึ่งในนิกายสำคัญ 3 นิกาย ของพุทธศาสนาในศรีลังกา แต่ด้วยเหตุที่ท่านมรณภาพที่ศรีลังกา จึงทำให้ไม่มีข้อมูลอันใดในกรุงศรีอยุธยาเลย กล่าวคือพระอุบาลีมรณภาพด้วยโรคหูอักเสบ ภายในกุฏิวัดบุปผาราม (มัลวัตตวิหาร) เมื่อปีพ.ศ.2299 ครั้งนั้นพระเจ้าแผ่นดินศรีลังกาให้จัดพิธีถวายเพลิงศพอย่างสมเกียรติ โดยจัดที่สุสานหลวงนามว่าอาดาหะนะมะลุวะ ปัจจุบันก็คือวัดอัศคิริยะเคดิเควิหาร ในเมืองกัณฎี สถานที่นี้ได้ก่ออิฐล้อมสถานที่เผาศพพระเถระสำคัญไว้ หลังเสร็จสิ้นพิธีถวายเพลิงศพแล้ว ทรงรับสั่งให้สร้างเจดีย์บนยอดเขาใกล้วัดอัสคีริยะบรรจุอัฐิเพื่อสักการบูชาขึ้น สำหรับวัดบุปผารามนั้น ยังมีกุฏิพระอุบาลีมหาเถระที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่มีเตียงเก่าๆ และโต๊ะเก้าอี้เท่านั้น ส่วนบริขารและสิ่งของที่ท่านเคยใช้สอยที่เหลืออยู่นั้น ชาวศรีลังกานับถือเป็นสิ่งเคารพจึงเก็บรักษาไว้จนทุกวันนี้ ด้วยความกล้าหาญของพระอุบาลีเถระที่นำคณะสงฆ์เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปศรีลังกาครั้งนั้น นับว่าเป็นพระธรรมทูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งสยามและเป็นพระเถระผู้สถาปนาพุทธศาสนานิกาย สยามวงศ์อย่างมั่นคงในศรีลังกา
ส่วนบนของวิหารเก่าวัดบุปผาราม
ต้นโพธิ์ที่วัดบุปผาราม
พระประธานในวิหารเก่าวัดบุปผาราม
เสาหลักอนุสรณ์แห่งพระอุบาลีมหาเถระ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี