ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย
หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ครัวเรือน นำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำในสังคมที่นับวันมีแนวโน้มสูงขึ้น เอสซีจี จึงเดินหน้าลดปัญหานี้อย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero 2050-Go Green -Lean เหลื่อมล้ำ-ย้ำร่วมมือภายใต้ความเชื่อมั่น โปร่งใส) เพื่อสร้างโอกาสให้ชุมชนมีอาชีพและรายได้ด้วยการอบรมให้ความรู้ผ่านโครงการ “พลังชุมชน” หลักสูตร Mini MBA สำหรับชุมชน ปัจจุบันสามารถสร้างอาชีพแล้วกว่า 450 คน 850 ผลิตภัณฑ์ เกิดการจ้างงานกว่า 1,800 คน และส่งต่อความรู้มากกว่า 10,200 คน เป็นเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง ล่าสุดจัดงาน “พลังชุมชน คนบันดาลใจ” ชวน 4 ชุมชนต้นแบบ มาร่วมกันส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ นำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต
ภายในงานได้จัดปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ“อยู่รอด เติบโต ด้วยคุณธรรม” โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ประธานคณะกรรมการกิจการสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี ที่ให้ข้อคิดว่า ทุกปัญหา อุปสรรคเอาชนะได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อยู่อย่างแบ่งปันและมีน้ำใจต่อกัน ซึ่งโครงการพลังชุมชนประสบความสำเร็จในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจแล้ว จึงอยากเพิ่มอีกมิติ คือ มิติจิตวิญญาณของความเป็นไทย นั่นคือเราเป็นพี่น้องกัน ต้องมีน้ำใจและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน
เกศรินทร์ กลิ่นฟุ้ง
“ขอชื่นชมโครงการพลังชุมชน อยากให้เดินหน้าต่อไป เพราะประเทศไทยมีคนจนและคนเปราะบางอีกมากที่ต้องการให้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ สิ่งที่ช่วยแก้จนมีสองเรื่องคือ หนึ่ง ต้องรู้จริง ไม่ว่าทำอาชีพอะไรก็ต้องเอาเทคโนโลยีและความรู้เกี่ยวกับอาชีพนั้นที่ทันสมัยที่สุดไปให้กับผู้ประกอบการ สอง เรื่องการบริหารจัดการ การสร้างเครือข่าย การประสบความสำเร็จต้องพัฒนาตลอดเวลา เราจะนำหน้าคู่แข่งเสมอ และผลิตภัณฑ์ต้องไม่ทำเหมือนเดิม ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์เรื่อยๆ และเมื่อผลิตได้แล้ว ต้องถามตัวเองว่าเอาไปขายใคร ตลาดอยู่ที่ไหน” ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม กล่าว
ยศวัจน์ ผาติพนมรัตน์
อีกทั้งในงาน ยังเปิดเวทีส่งต่อแรงบันดาลใจโดย เกศรินทร์ กลิ่นฟุ้ง หรือ หนิง คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวแม่ค้าขนมภายใต้แบรนด์ แม่หนิงภูดอย จาก จ.ลำปางที่เริ่มต้นจากความตั้งใจทำขนมให้ลูกชายกิน เล่าว่าโครงการพลังชุมชน เป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตโดยนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้มาปรับปรุง พัฒนาต่อยอดแปรรูปขนมคุกกี้ไส้สับปะรดให้มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างเป็นรูปไก่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของลำปาง ทั้งยังปรับมาตรฐานสินค้าให้ได้รับ อย. และเลือกเป็นเมนูในเวทีประชุม APEC Thailand ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
มัจฉา สุดเต้
ตามมาด้วย ยศวัจน์ ผาติพนมรัตน์ สมาชิกโครงการพลังชุมชน จ.อุดรธานี ข้าราชการบำนาญ ที่แบกหนี้หลักล้านกลับบ้านเกิด นำปลามาแปรรูปเป็นปลาส้ม จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เล่าว่า แม้จะลำบาก แต่ไม่เคยท้อ เพราะในความมืดย่อมมีแสงสว่าง ที่สำคัญมีความรู้เป็นกุญแจสำคัญ โครงการพลังชุมชนสอนให้ตัวเองทำในสิ่งที่ถนัด เมื่อลงมือทำโดยใช้เวลาเพียง 1 ปี ก็กลับมามีรายได้อย่างมั่นคง จากแปรูปปลาเป็นปลาส้ม ซึ่งขายได้ 28,800 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 180 บาทจากต้นทุนกิโลกรัมละ 50 บาท อีกทั้ง ยังขยายเครือข่าย สร้างระบบ สร้างงาน สร้างคน ส่งต่อไปความรู้ ความเชี่ยวชาญไปอีกหลายตำบล
อำพร วงค์ษา
ด้าน มัจฉา สุดเต้ จาก จ. อุบลราชธานี ผู้พัฒนาก๋วยจั๊บอุบล ซึ่งเป็นอาหารพื้นถิ่นให้มี 20 รสชาติ เล่าว่าในช่วงที่ชีวิตเหมือนจะไปต่อไม่ได้ แต่ต้องฮึดสู้เพื่อครอบครัว โครงการพลังชุมชนแนะให้นำสิ่งรอบตัวมาเพิ่มมูลค่า รักในสิ่งที่ทำและทำในสิ่งที่รัก สุดท้ายปิ๊งไอเดียทำก๋วยจั๊บสำเร็จรูป เนื่องจากลูกชายชอบทาน แม้ว่าในอุบลฯ จะมีสินค้าอยู่แล้วนับพันแบรนด์ แต่ก็ยังคงทดลองคิดค้นสูตรเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์และมีความแตกต่าง ซึ่งลูกชายการันตีว่าอร่อยมาก จึงเป็นที่มาของก๋วยจั๊บอุบล สูตรมาดามโซ่ รสต้นตำรับ เปิดตลาดในอำเภอน้ำยืน ก่อนบุกทำตลาดออนไลน์ จ้างทำเพจยิงโฆษณา จนประสบความสำเร็จ
ปิดท้ายที่ อำพร วงค์ษา หรือ ครูอ้อ ประธานศูนย์หัตถกรรมบ้านงานฝีมือผาหนาม จ.ลำพูน และเจ้าของก๋วยเตี๋ยวลำไยแปรรูป แบรนด์ “ไร่วงค์ษา” ที่ลาออกจากการเป็นครูพี่เลี้ยงในโรงเรียนอนุบาลมาดูแลแม่ที่เจ็บป่วย ทำให้ขาดรายได้ประจำและมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งยังแบกภาระหนักเมื่อสามีล้มป่วย และยังรับหน้าที่ดูแลลูก จึงฝึกฝนพัฒนางานฝีมือหัตถกรรมสร้างรายได้เสริม ซึ่งโครงการพลังชุมชนสอนให้พึ่งตนเอง นำความรู้มาพัฒนาต่อยอดในหลายเรื่อง เมื่อลำไยราคาตกก็แปรรูปเป็นก๋วยเตี๋ยวลำไย ฝึกฝนทำงานหัตถกรรมไปพร้อมกับดูแลครอบครัว นำความรู้เรื่องการจัดการ มาบริหารงานภายในกลุ่ม เชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างเพื่อขยายฐานการผลิต ทั้งยังเปิดศูนย์เรียนรู้ ให้ชุมชนมีอาชีพ มีงานทำ รู้สึกภูมิใจมากที่ได้มายืนในจุดนี้”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี