“ตามแนวทางการพัฒนาเด็กของ “วอลดอร์ฟ” (นักมนุษย์ปรัชญา) เชื่อว่า การพัฒนามนุษย์ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์คนหนึ่งได้จะต้องผ่าน 3 ช่วงชีวิตสำคัญคือ 0-7 ปี 7-14 ปี และ 14-17 ปี ซึ่งเป็นการสร้างทั้งมนุษย์ที่ดีและมีข้อปรับปรุง
แต่สิ่งที่เราเห็นในวันนี้คือ มนุษย์อายุ 3-6 ปี ติดมือถือ แม้เราทำงานเพื่อพัฒนาเด็ก แต่ความเป็นจริงเราก็ต้อง “ซ่อมเด็ก” ไปด้วย เพราะถ้าเราไม่แก้ไขเรื่องนี้ก็จะเกิดปัญหาสังคมที่ซับซ้อนขึ้นในอนาคต”
ครูบุญส่ง กล่าวถึงปัญหาการพัฒนาเด็กเล็กและชี้ให้เห็นว่า เด็กปฐมวัย 3-6 ปี เป็นวัยทองของการเรียนรู้ แต่ปัจจุบันเด็กเล็กกำลังเผชิญกับปัญหาติดมือถือ เนื่องจากพ่อแม่ต้องไปทำงานต่างถิ่นหรือโรงงาน ทำให้เด็กต้องอยู่ในภาระการดูแลของผู้สูงวัยและให้มือถือกับเด็กเล่น จึงกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางร่างกายเติบโตไม่สมวัย และทักษะการเรียนรู้ถดถอย
ดังนั้น เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีพัฒนาการด้านสุขภาวะในทุกมิติ ทางชุมชนบ้านเกาะทราย หมู่ที่ 5 ตำบลทากาศ อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน จึงเข้าร่วม“โครงการมหัศจรรย์สื่อสร้างสรรค์ 3 ดี ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” ด้วยการจัดกิจกรรมและพื้นที่สร้างสรรค์ภายในสนามเด็กเล่นขึ้นเมื่อปี 2562
“เป้าหมายเราอยากเห็นอนาคตเด็กชุมชนตำบลทากาศ มี “คุณภาพ” และเป็น “พลเมืองที่ดี” มีสุขภาวะที่ดี รู้จักรอคอย เข้าสังคมได้ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีจิตใจที่อ่อนโยน และมีคุณสมบัติอันพึงประสงค์ 6 ประการ ได้แก่ อารมณ์ ความสัมพันธ์ สติปัญญา วินัย รู้จักแบ่งปัน และความฉลาดรู้ด้านสุขภาวะ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดของเด็กที่มีคุณภาพ และเป็นพลเมืองที่ดีของชุมชนในอนาคต” ครูบุญส่ง อินต๊ะกาศ ผู้ประสานงานและผู้ปฏิบัติงาน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลทากาศ กล่าว
จากนั้นในปี 2563 ศูนย์เด็กจึงได้ต่อยอดสู่โครงการ “บูรณาการมหัศจรรย์ 3 ดี สู่ชุมชน เพื่อเด็กปฐมวัย” ของพื้นที่ “ชุมชนบ้านเกาะทราย หมู่ที่ 5” และขยายเข้าสู่ “ชุมชนบ้านทากาศ หมู่ที่ 6” ซึ่งเป็นการพัฒนาเด็กต่อเนื่องจากครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งถือเป็นหน่วยงานและส่วนหนึ่งของงานด้านกองการศึกษาของเทศบาลตำบลทากาศ
โดยจัดกระบวนการเรียนรู้ผ่านสื่อกิจกรรมและพื้นที่สร้างสรรค์แบบมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อร่วมกันส่งเสริมสุขภาวะเด็กปฐมวัย ตาม “แนวคิด 3 ดี” คือ “สื่อดี พื้นที่ดี ภูมิดี” ซึ่งถือว่าวันนี้โครงการประสบความสำเร็จ และได้พื้นที่ต้นแบบของ “ท้องถิ่นพัฒนาเด็ก” ที่เน้นการทำงานแบบ “มีส่วนร่วม” กับหลายหน่วยงานและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
“นันทภัศ เจอกาศ” นักวิชาการศึกษา เทศบาลตำบลทากาศ อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน เล่าว่า “ชุมชนตำบลทากาศ” อยู่ในพื้นที่การดูแลของเทศบาลตำบลทากาศ เป็นชุมชนขนาดเล็กมีพื้นที่เพียง 4.3 ตารางกิโลเมตร มีทั้งหมด 6 หมู่บ้าน ปัจจุบันได้ดำเนินการโครงการฯ 3 ดี สู่ชุมชน และเป็นต้นแบบ 2 ชุมชน ได้แก่ “ชุมชนบ้านเกาะทราย หมู่ที่ 5” และ “ชุมชนบ้านทากาศ หมู่ที่ 6” ซึ่งสองชุมชนนี้มีลักษณะพื้นที่ เศรษฐกิจ สังคมและปัญหาชุมชนแตกต่างกัน
การดำเนินโครงการฯ 3 ดี สู่ชุมชนเทศบาลตำบลทากาศ จึงปรับกระบวนการทำงานให้สอดคล้องเหมาะสมกับบริบทและปัญหาของแต่ละพื้นที่
“เราพิจารณาจากปัญหาเป็นตัวนำ จึงได้เริ่มทำโครงการ 3 ดีสู่ชุมชน เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย 3-7ปี ของชุมชนบ้านเกาะทรายก่อนแห่งแรก ซึ่งเป็นชุมชนเกษตรแต่มีปัญหาด้านยาเสพติด เด็กวัยรุ่นออกนอกระบบการศึกษากันมาก ขณะที่ผู้ปกครองมีรายได้ลดลงและว่างงาน ส่วนชุมชนบ้านทากาศนั้น เป็นชุมชนค้าขาย มีร้านค้าจำนวนมาก เด็กเข้าถึงขนมที่ไม่ถูกสุขลักษณะได้ง่าย ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง”
ในส่วนการดำเนินการโครงการ 3 ดี สู่ชุมชน เพื่อพัฒนาเด็ก หมู่ที่ 5 บ้านเกาะทราย นันทภัศ บอกว่า เริ่มต้นจากตั้งคณะทำงานชุมชนขึ้นมาและดึงทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเทศบาลตำบล สนับสนุนทุน ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ครอบครัว เป็นต้น ถือเป็นจุดแข็งของชุมชนตำบลทากาศ ที่สามารถดึงเครือข่ายชุมชนเข้ามาร่วมกันพัฒนาเด็กให้เข้มแข็ง
“จุดเด่นของชุมบ้านเกาะทราย เป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่ที่เน้นการมีส่วนร่วมการทำงาน เพราะเราจะไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ครูก็ทำงานในส่วนของครู เราก็ทำงานในส่วนขององค์กรที่ให้การสนับสนุนชุมชน และดึงชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของการทำกิจกรรมร่วมกัน
ถ้านึกถึงทากาศ ก็ต้องนึกถึงการทำงานแบบมีส่วนร่วม อย่างที่เราจัดงาน 3ดี ที่ผ่านมา ก็ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นศูนย์เด็ก ผู้ปกครอง องค์กรเอกชนในพื้นที่ โรงเรียนต่างๆ ของสพฐ. ถึงจะต่างสังกัดกันแต่ก็ร่วมมือกันเป็นอย่างดี” นันทภัศ บอก
นอกเหนือจาก “จุดแข็ง” สามารถดึงทุกภาคส่วนร่วมเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กแล้ว การสร้าง “กติกาชุมชน” เพื่อเป็นข้อตกลงการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและยั่งยืนภายในชุมชน ก็เป็น “ความเข้มแข็ง” ของสองชุมชนนี้
เพราะการสร้างกติกาชุมชน เปรียบเสมือนแผนที่การเดินทางของคนทำงานชุมชนบ้านเกาะทราย และชุมชนบ้านทากาศ ซึ่งเป็น “มติของชุมชน” ที่ร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการทำงานขึ้นมา เรียกว่า “กติกาชุมชนเกาะทราย 3 ดี” และ “กติกาชุมชนทากาศ 3 ดี”
ครูบุญส่ง กล่าวว่า กติกาชุมชุนสามดีที่ตั้งขึ้นและนำมาใช้ทั้งสองชุมชนนั้นมีอยู่ด้วยกัน 7 ประการ ด้วยกัน อย่างแรก..สมาชิกชุมชนร่วมกันสร้างพื้นที่และทำกิจกรรมร่วมกันในศูนย์รวมที่เรียกว่า “CENTER Point” หรือ “จุดศูนย์กลาง” เพื่อทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกันในทุกวัยตั้งแต่เด็กปฐมวัย วัยรุ่น วัยกลางคน และผู้สูงอายุ
สอง..ขณะเดียวกันคัดเลือกครอบครัว 3 ดีตัวอย่าง 10 ครอบครัว ให้จัดมุมเรียนรู้ภายในบ้าน หรือ ลานบ้านให้แก่เด็กอย่างน้อย 1 มุมหรือมากกว่านั้น พร้อมดึงผู้สูงอายุ(ปราชญ์ชุมชน) ของแต่ละครอบครัว สลับกันมาเป็นครูถ่ายทอดวิชาชีวิตให้แก่เด็ก
สาม..สมาชิกในชุมชน ผู้ปกครอง ต้องเข้าร่วมกิจกรรมประชุม ปรึกษาหารือเมื่อชุมชนจัดขึ้นทุกครั้ง และอย่างน้อยต้องมีสมาชิกครัวเรือนเข้าร่วม 1 คน
สี่..ยังมีกติกาการสร้างความปลอดภัยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุภายในชุมชน โดยห้ามสมาชิกผู้ชายขับรถเร็วภายในชุมชน ห้า..ผู้ปกครองที่ขับขี่รถจักรยานยนต์และเด็กจะต้องสวมหมวกนิรภัยเสมอเมื่อมารับส่งเด็ก
หก..สมาชิกในชุมชนจะต้องร่วมกันสอดส่องดูแลเด็ก เพื่อป้องกันเด็กสูญหายหรือถูกลักตัว(หลังจากที่มีรถตู้นิรนามเข้ามาในชุมชน) และ เจ็ด..กำหนดให้ร้านค้าในชุมชนมีมุมให้ความรู้หรือคู่มือด้านโภชนาการอาหารเพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาเมื่อซื้อขนมหรืออาหารให้เด็ก อีกด้วย
สำหรับชุมชนบ้านทกาศ หมู่ที่ 6 นั้น ครูบุญส่ง สะท้อนว่า เป็นชุมชนเมืองเล็กๆ ที่มีตลาดและร้านค้าจำนวนมาก ผู้ปกครองเด็กส่วนใหญ่อายุยังน้อยและทำงานโรงงานในนิคมอุตสาหากรรม จึงไม่มีเวลาการดูแลลูกเท่าที่ควร เด็กเล็กส่วนใหญ่จึงอยู่ในความดูแลของปู่ ย่า ตา ยาย ทำให้เด็กไม่มีโอกาสได้ทำกิจกรรมสื่อสร้างสรรค์ภายในบ้าน
โครงการฯ จึงได้นำกิจกรรมและตั้งกฎกติกาเข้าไปสู่ชุมชน คล้ายกับบ้านเกาะทราย โดยดึงผู้ปกครองและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมและทำกิจกรรมผ่านการใช้ “สื่อดี พื้นที่ดี ภูมิดี” มีการสร้างครอบครัวต้นแบบ 10 ครอบครัว ให้จัดมุมเรียนรู้สำหรับเด็กเล็กอย่างน้อย 1 มุม ภายในบ้านหรือบริเวณลานบ้าน อบรมทำสื่อให้ผู้ปกครองไปเล่นกับลูกที่บ้าน แจกเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวให้ไปเพาะปลูก ตลอดจนการสร้างการเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนบ้านทากาศ เป็นต้น
“ปัญหาของชุมชนบ้านทากาศ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการโภชนาของเด็กไม่เหมาะสม เนื่องจากชุมชนมีร้านค้า โดยเฉพาะร้าน 7-11 เยอะมาก เด็กและผู้ปกครองจึงหาซื้อขนมกรุบกรอบ น้ำอัดลมได้ง่าย ทำให้เด็กฟันผุกันมาก หลังจากที่เราได้ทำวิจัยเรื่องโภชนาการเด็ก จึงตั้งกติกาชุมชน 3ดีขึ้นมา โดยพูดคุยและขอความร่วมมือกับร้านค้าให้ช่วยกันดูพฤติกรรมเด็ก มีทำป้ายเสริมความรู้ด้านโภชนาไว้ที่ร้านค้า ให้ความรู้การเลือกซื้อขนมกับผู้ปกครองด้วย หลังจากติดตามผลทั้งร้านค้าและบ้านเด็ก พบว่า ร้านค้าให้ความร่วมมือแนะนำการซื้อขนมให้ผู้ปกครองด้วยดี เด็กเองเริ่มลดการกินขนม ดื่มน้ำอัดลมได้พอควร”
ครูบุญส่ง ยังกล่าวถึงผลรับหลังจากทำกิจกรรมสื่อสร้างสรรค์ต่างๆ ของโครงการ 3 ดี สู่ชุมชน ทำให้เด็กได้การพัฒนาด้านต่างๆ และลดการติดหน้าจอลงได้จริง หลังจากที่โครงการฯพยายามดึงเด็กมาทำกิจกรรม ก็ได้รับเสียงสะท้อนจากผู้ปกครองว่า เมื่อเด็กมาเข้าร่วมกิจกรรม ทำให้ลดการใช้มือถือลงไปโดยปริยาย
ด้าน “นันทภัศ” บอกถึงผลรับจากการดำเนินโครงการฯด้วยว่า ผลสำเร็จของโครงการช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาหลังการนำกิจกรรมและสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่เด็กในชุมชน โดยเน้นกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมขององค์กรท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ผู้ปกครอง ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น และการที่ชุมชนร่วมกันตั้งกติกาชุมชน เพื่อความปลอดภัยและสุขภาวะขึ้นมา ทำให้ได้รับผลตอบรับที่ดีจากทุกฝ่าย
“อย่างปัญหายาเสพติดในกลุ่มเยาวชนที่มีในชุมชนบ้านเกาะทราย เมื่อนำพื้นที่รกร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์มาจัดทำพื้นที่สร้างสรรค์และปรับสภาพแวดล้อมที่ดีใหม่ ได้ช่วยลดการรวมกลุ่มและใช้ยาเสพติดของกลุ่มวัยรุ่นได้มาก เด็กเล็กและผู้ปกครองก็สามารถมาใช้พื้นที่ออกกำลังกายได้ด้วย ส่วนบ้านทากาศ เราให้ความสำคัญด้านโภชนาการของคนในชุมชน หลังตั้งกติกาชุมชนและปรับพฤติกรรมการกินของเด็ก ลดบริโภคของหวานเค็ม และให้ความรู้ร้านค้า ผู้ปกครอง ได้ช่วยให้สุขภาพของเด็กดีขึ้น” นันทภัศ กล่าวสรุป
-(016)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี