การพัฒนาทักษะความรู้ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนสำคัญ ช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้ทักษะ ความรู้ เป็นการเรียนรู้ด้วยการส่งเสริมให้คิดและต่อยอด เพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ภาคเอกชนที่ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา เป็นพื้นฐานของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน ซึ่งบริษัทมุ่งมั่นสานต่อภารกิจขับเคลื่อนโครงการสานอนาคตการศึกษา “คอนเน็กซ์ อีดี”(CONNEXT ED) เข้าสู่ปีที่ 8 โดยในปี 2566 นี้จะเน้นส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิชาการนำทักษะใหม่ๆ และเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับโลกศตวรรษที่ 21 มาใช้ อาทิ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในรูปแบบโค้ด (Coding)การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learningและ STEM เพื่อบูรณาการความรู้ระหว่างวิชาต่างๆ ควบคู่กับต่อยอดทักษะวิชาชีพพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหารทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ ในฐานะประธานคณะบริหารโครงการสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ เป็น 1 ใน 12 องค์กรเอกชนที่ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี เพื่อร่วมยกระดับความเท่าเทียมทางการศึกษา โดยปีนี้ จะเน้นส่งเสริมการนำทักษะใหม่ๆ และเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับโลกในศตวรรษที่ 21มาใช้ อาทิ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในรูปแบบโค้ด (Coding) การจัดการเรียนการสอนภายใต้โครงการ Proactive teacher for active learning และโครงการ STEMEducation
บริษัทยังได้สนับสนุนโครงการเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและวิชาชีพ โดยนำโมเดลองค์ความรู้ (Best Practice) โครงการ “โรงเรือนจําลองฟาร์มไก่พันธุ์ไข่” ซึ่งเป็นโครงการที่มีเป้าหมายส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ เพิ่มทักษะอาชีพ ลดปัญหาด้านโภชนาการของเด็กนักเรียน และเป็นแหล่งเรียนรู้อุตสาหกรรมแปรรูปไก่ไข่ขนาดย่อมนำมาถอดบทเรียนของโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินโครงการ เป็น 1 ใน 17 โมเดลต้นแบบให้โรงเรียนอื่นๆ นำไปประยุกต์ใช้นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ส่งเสริมโครงการด้านวิชาชีพอื่นๆ อาทิ โครงการอัจฉริยะยุวเกษตรโครงการร้านกาแฟเด็กน้อย โครงการขนมและเบเกอรี่ เป็นต้น
“ซีพีเอฟ มีความตั้งใจที่จะสนับสนุนโครงการคอนเน็กซ์ อีดี ทั้งด้านงบประมาณและบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทำงานร่วมกับสถานศึกษา เราจะทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นและอยู่ในดีเอ็นเอของพวกเราชาวซีพีเอฟ ซึ่งเป็นไปตามหลักปรัชญา 3 ประโยชน์ ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ คือ คำนึงถึงประโยชน์ต่อประเทศชาติประชาชนและมองประโยชน์ขององค์กรเป็นลำดับสุดท้าย” พิมลรัตน์ กล่าว
นอกจากนี้ ในปี 2566 ซีพีเอฟ มีเป้าหมายเพิ่มจำนวนผู้นำรุ่นใหม่ หรือ School Partnerซึ่งเป็นพนักงานของซีพีเอฟที่สมัครใจเข้ามาทำงานวางแผนพัฒนาการศึกษาร่วมกับโรงเรียนในความดูแลของซีพีเอฟ 298 โรงเรียน ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสระบุรี โดยจะเพิ่มจำนวนผู้นำรุ่นใหม่เป็น 150 คน จากปัจจุบันมีผู้นำรุ่นใหม่แล้ว 4 รุ่น รวม 83 คน ซึ่งจะทำให้สัดส่วนของผู้นำรุ่นใหม่ที่ดูแลโรงเรียนปรับจาก 1 : 4 เป็น 1 : 2 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเป็นเพื่อนคู่คิดกับผู้อำนวยการโรงเรียนและคุณครู มุ่งสู่เป้าหมายในการยกระดับผลการประเมินคุณภาพโรงเรียน (School Grading)จากระดับดีสู่ระดับยอดเยี่ยม ทั้งด้านผู้เรียนด้านการมีส่วนร่วม ด้านผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษาด้านหลักสูตรและการสอน และด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตามเป้าหมายของโครงการที่มุ่งมั่นพัฒนาเด็กดีและเด็กเก่ง