บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากร ดิน น้ำ ป่าไม้ เดินหน้าดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยกระดับประสิทธิภาพ กระบวนการผลิตด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อลดการใช้ทรัพยากร ร่วมปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ อนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป่าชายเลน ลดปัญหาขยะพลาสติกและขยะในทะเล
22 เมษายนของทุกปี โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งองค์การสหประชาชาติ (United Nations Environment Program : UNEP)กำหนดให้เป็นวันคุ้มครองโลกหรือ Earth Day เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเด็นสำคัญในปีนี้คือ “Invest in our planet” หรือลงทุนในโลกของเรา ซึ่งทุกคนสามารถมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อโลก
กอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโลกและธุรกิจ ซึ่งซีพีเอฟตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ถือเป็นต้นทางการผลิตอาหารทั้งดิน น้ำ ป่าไม้ อาทิ มุ่งเน้น การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ยึดหลัก 3Rs คือ ลดการใช้น้ำ (Reduce) นำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และนำน้ำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) รวมถึงการร่วมจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเชิงรุกทั้งระยะยาวและระยะสั้น เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ อาทิ ยกเลิกการใช้ถ่านหิน 100% สำหรับกิจการในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy)ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการในการก้าวสู่องค์กรลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2050
ซีพีเอฟ ได้ประกาศนโยบายต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าเป็นศูนย์ กำหนดเป้าหมาย 100% ของการจัดหาวัตถุดิบหลักทางการเกษตร ได้แก่ ข้าวโพด ปลาป่น น้ำมันปาล์ม กากถั่วเหลือง และมันสำปะหลัง สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าไม่มาจากแหล่งที่มีการตัดไม้ทำลายป่า โดยในปี 2565 สำหรับกิจการในประเทศไทย 100% ของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงพื้นที่เพาะปลูก นอกจากนี้ บริษัทฯร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ทั้งกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำและป่าชายเลนเพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กรช่วยกันปลูกต้นไม้ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการทั้งในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ
กอบบุญกล่าวเพิ่มเติมว่า ซีพีเอฟยังให้ความสำคัญกับโครงการต้นแบบในการเปลี่ยนของเสียเป็นพลังงานทดแทน โดยปัจจุบันฟาร์มสุกรทั้ง 98 แห่ง และคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ 7 แห่ง นำก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้จากระบบก๊าซชีวภาพไปผลิตกระแสไฟฟ้าและนำกลับมาใช้ในฟาร์มเลี้ยงสุกรและไก่สามารถทดแทนไฟฟ้าได้ 69 ล้านหน่วย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 490,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และจะขยายผลไปใช้กับกิจการในต่างประเทศ ในส่วนของการมีส่วนร่วมพิทักษ์ท้องทะเล ซีพีเอฟได้ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศ ดำเนินโครงการ Restore the Ocean เพื่อจัดการแก้ปัญหาขยะพลาสติกและขยะในทะเล โดยตลอดปี 2565 สถานประกอบการของบริษัทฯทำกิจกรรมเก็บขยะในทะเลได้รวม 15,973 กิโลกรัมมาจากกิจกรรมเก็บขยะชายหาด 12,823 กิโลกรัม กิจกรรมกับดักขยะทะเล 3,150 กิโลกรัม
“ในโอกาสวันที่ 22 เมษายน ซึ่งตรงกับวันคุ้มครองโลก เป็นการกระตุ้นเตือนให้ทุกภาคส่วนร่วมกันตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกคนที่จะต้องช่วยกันดูแลและปกป้องโลกใบนี้” กอบบุญ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี