โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อหุ้มข้อ ทำให้มีอาการปวด บวมที่ข้อ และอาจเกิดการทำลายข้อทำให้ข้อผิดรูปและไม่สามารถใช้งานได้อย่างเป็นปกติ โรคนี้พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยมักพบในช่วงวัยกลางคน
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่จากการศึกษาสันนิษฐานว่าเกิดจากความผิดปกติในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณเยื่อหุ้มข้อ โดยอาจได้รับการกระตุ้นจากการสูบบุหรี่ หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย และสัมพันธ์กับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดข้อเรื้อรัง ระยะเวลาเป็นเดือนถึงปี ข้อบวม มักมีอาการที่ข้อมือและข้อนิ้วมือทั้งสองข้าง บางรายอาจมีอาการบริเวณข้อศอก ข้อเข่า ข้อเท้าและข้อนิ้วเท้า มีอาการข้อฝืดตึงซึ่งมักเป็นมากช่วงเช้า บางรายอาจพบข้อผิดรูป และขยับได้ลดลง นอกจากนี้ ยังพบการอักเสบของอวัยวะอื่นๆ ได้แก่ ตา ผิวหนัง ปลอกหุ้มเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อในบางรายอาจพบปุ่มนูนใต้ผิวหนังเรียกว่าก้อนรูมาตอยด์ซึ่งมักพบบริเวณข้อศอก
การวินิจฉัยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ นอกจากจะอาศัยการซักประวัติ และตรวจร่างกายแล้ว แพทย์จะส่งเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อดูค่าการอักเสบ ตรวจทางภูมิคุ้มกันวิทยาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รูมาตอยด์แฟกเตอร์ (rheumatoid factor) และ/หรือ แอนติซีซีพี (anti-cyclic citrullinated peptide (anti-CCP) antibody) และอาจตรวจภาพรังสี (X-ray) เพื่อให้ได้การวินิจฉัย รวมทั้งการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ และตรวจเพิ่มเติมเพื่อวางแผนการรักษาต่อไป
เมื่อได้การวินิจฉัยแล้ว แพทย์มักจะเริ่มการรักษาทันที เพื่อชะลอการทำลายข้อและการเกิดข้อผิดรูปและทุพพลภาพ การรักษาประกอบด้วยยาบรรเทาอาการ ซึ่งมักใช้กลุ่มยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์บางรายที่อาการเป็นมากหรือมีข้อห้ามของการใช้ยาดังกล่าว อาจได้รับการรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ขนาดต่ำร่วมไปกับการให้ยาต้านรูมาติกเพื่อลดการดำเนินของโรค (disease modifying antirheumatic drugs, DMARDs) เช่น เมโทเทรกเซท ซัลฟาซาลาซีนไฮดรอกซีคลอโรควิน เป็นต้น ในบางรายที่ยังควบคุมอาการไม่ได้ อาจต้องใช้ยาฉีดชีววัตถุ (biologic drugs) ร่วมด้วย นอกจากนี้ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ บริหารข้อต่อหรือกายภาพบำบัด และงดสูบบุหรี่ หากมีข้อผิดรูปมากหรือสูญเสียการใช้งานอาจต้องได้รับการผ่าตัด
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นโรคเรื้อรัง ต้องได้รับการรักษาเป็นระยะเวลานาน เพื่อคุมให้โรคสงบ แต่อาจมีช่วงที่โรคกลับมากำเริบได้ ผู้ป่วยจึงต้องมาตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แพทย์พิจารณาการปรับเพิ่มหรือลดยา ตามการกำเริบและความรุนแรงของโรค รวมไปถึงการติดตามผลข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษา
พญ.ปัญนิภา บุบผะเรณู
โรคข้อและรูมาติสซั่ม กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี