ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน สสส. ยันหากคนไทยไม่ต้องการกินหวาน ก็ไม่ต้องใช้สารทดแทนความหวาน ระบุ การที่องค์การอนามัยโลก จัดสารให้ความหวานแอสปาร์แทม อยู่ในกลุ่ม “เป็นไปได้ว่าจะก่อมะเร็ง”  เครือข่ายฯ ไม่เอาสารทุกชนิดที่มีความหวาน  ระบุ ทางเลือกที่ดีที่สุด คือ ดื่มน้ำเปล่า เลือกผลิตภัณฑ์ที่น้ำตาลไม่เกิน 5% โดยไม่มีสารให้ความหวานใดๆ มาทดแทน

ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากที่ International Agency for Research on Cancer (IARC) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยมะเร็งขององค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญร่วมด้านวัตถุเจือปนอาหาร (JECFA) เผยแพร่ผลการประเมินอันตรายและความเสี่ยงของสารให้ความหวาน จัดให้ "แอสปาร์แทม (aspartame)"  ให้เป็นสารที่อยู่ในกลุ่ม “เป็นไปได้ว่าจะก่อมะเร็ง” (possible carcinogen)  ในมนุษย์ (IARC Group 2B)  ว่า สารให้ความหวานแทนน้ำตาล อย่างที่รับรู้กันวันนี้ว่า ไม่ได้ช่วยเรื่องลดความอ้วน เครื่องดื่มที่โฆษณาว่า  0% ก็อ้วนได้

“การที่องค์การอนามัยโลก จัดกลุ่มแอสปาร์แทม เป็นสารที่อยู่ในกลุ่ม “เป็นไปได้ว่าจะก่อมะเร็ง” เพิ่มอีกนั้น เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ขอเน้นย้ำ การบริโภควัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลอย่างแพร่หลาย มีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ช่วยเรื่องกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้ลดหวาน ลิ้นคนเราก็ยังคงติดหวานอยู่ ในอดีตสารแอสปาแทมเคยถูกใช้มาเป็นเวลานานด้วยความเชื่อว่าปลอดภัยจนกระทั่งค้นพบว่ามีอันตรายในการวิจัยล่าสุด ซึ่งไม่แน่ใจว่าสารทดแทนความหวานอื่นจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกหรือไม่”

ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ย้ำว่า WHO กำหนดไว้แล้วว่าให้บริโภคน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา จึงแนะนำการไม่กินหวานว่า ไม่ต้องใช้สารทดแทนความหวานใดๆ ดีที่สุด ฉะนั้น เครือข่ายฯ ไม่เอาสารทุกชนิดที่มีความหวาน ซึ่งทางเลือกที่ดีที่สุด คือ ดื่มน้ำเปล่า กินน้ำตาลธรรมชาติให้น้อยลง เลือกผลิตภัณฑ์ที่น้ำตาลไม่เกิน 5% โดยไม่มีสารให้ความหวานใดๆ มาทดแทน

“เลิกกินหวานไปเลย ปลอดภัยต่อสุขภาพที่สุด ถึงเวลาที่เราต้องมีมาตรการให้คนไทยลดหวาน ไม่ติดหวาน โดยบริโภคน้ำตาลธรรมชาติน้อยลง โดยไม่ต้องอาศัยสารทดแทนความหวานใดๆ ชีวิตสุขภาพ สร้างได้เพื่อสังคมไทยปลอดโรค ปลอดภัยและมีอายุยืนแบบมีสุขภาวะ”

-(016)