สัปดาห์นี้เรามาชวนกันป้องกันโรค “ไข้เลือดออก” กันครับแม้โรคนี้จะเก่าแก่ แล้วเราคุ้นเคยกับมันมานานก็ตาม แต่เราก็ต้องป้องกันตัวเราจากมันให้ได้ ยิ่งปีนี้มีการระบาดของโรคไข้เลือดออกเป็นวงกว้างและรุนแรงกว่าปีก่อนๆ
กรมควบคุมโรครายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออกว่า ในปี 2566 ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1-25 มีผู้ป่วยไข้เลือดออกสะสม 27,377 ราย เสียชีวิต 23 ราย คำนวณคร่าวๆ คือปีนี้มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคนี้ตกสัปดาห์ละคนเลยทีเดียวนับว่าสูงกว่าปีก่อนถึงเกือบ 3 เท่าตัว
ยิ่งช่วงฤดูฝนแบบนี้ก็เป็นช่วงที่ไข้เลือดออกกำลังระบาดมากที่สุดของปี เชื่อว่าหลายคนยังคงจำเคสนักแสดงวัยหนุ่มแน่นร่างกายแข็งแรง แต่ต้องเสียชีวิตจากไข้เลือดออกได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทุกคนตระหนักถึงอันตรายจากไข้เลือดออกมากขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนเราอาจจะดูแคลนมันว่าไม่รุนแรงมากนัก
ทุกคนคงพอทราบว่าตัวการทำให้คนเป็นไข้เลือดออกคือยุงลาย ยุงลายเป็นพาหะของเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue Virus) เมื่อมันดูดเลือดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกมาไว้ในตัวมันเอง แล้วไปกัดคนอื่นก็เป็นการแพร่เชื้อไวรัสเดงกี่ หลังจากถูกยุงกัดก็จะป่วยภายใน 3-8 วัน
อาการของการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ มีระดับที่แตกต่างกันตั้งแต่ไม่มีอาการอะไรเลยจนถึงรุนแรงจนเกิดภาวะช็อก ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิต แต่ที่พบบ่อยๆ คือ มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องมาก โดยเฉพาะชายโครงด้านขวา มีจุดเลือดออกตามแขนขา ลำตัว ในรายที่มีอาการรุนแรง จะนำไปสู่ภาวะช็อกมือเท้าเย็น ความดันเลือดตก ปัสสาวะไม่ออก อวัยวะภายในล้มเหลวตามมา ซึ่งก่อนจะถึงภาวะนี้ ผู้ป่วยมักมีอาการมาแล้วหลายวัน
ปัจจุบันยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี่ มีแต่การใช้ยารักษาตามอาการ เช่น หมั่นเช็ดตัวและให้ยาแก้ปวดลดไข้ ถ้ายังรักษาตัวอยู่ที่บ้านควรให้ดื่มน้ำเกลือแร่ ชดเชยการขาดน้ำ แต่ถ้าภายใน 2-3 วันไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีน้ำหนักเกิน หญิงมีครรภ์ หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ธาลัสซีเมีย โรคหัวใจ ตับไต ไม่ดี ผู้ที่กำลังใช้ยาที่มีผลต่อเกล็ดเลือด (NSAIDS) เช่น ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาได้ทันท่วงที ก่อนเกิดภาวะช็อก หรือเลือดออกตามชื่อโรคจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ซึ่งเป็นอาการสำคัญที่พบได้ในผู้ป่วยไข้เลือดออก และอาการอาจมีโอกาสที่จะรุนแรงยิ่งขึ้นถ้าเป็นไข้เลือดออกครั้งที่สอง
การใช้ยาแก้ปวดลดไข้ในผู้ป่วยไข้เลือดออก ควรเลือกใช้ยาพาราเซตามอล แต่ที่ห้ามใช้โดยเด็ดขาดในกรณีที่เป็นไข้เลือดออก คือ ยาบรรเทาปวด ลดอักเสบกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือ NSAIDS เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) แอสไพริน (Aspirin) ไดโคลฟีแนก (Diclofenac) นาปรอกเซน (Naproxen) เป็นต้น เนื่องจากยาในกลุ่มนี้ทำให้เลือดออกแล้วหยุดยาก เพราะยาในกลุ่มนี้มีฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือด
ฉะนั้นถ้าเราเป็นไข้ แต่ยังไม่ทราบสาเหตุ ถ้าต้องใช้ยาแก้ปวดลดไข้ ให้เลือกใช้เป็นยาพาราเซตามอลเป็นอันดับแรก
ส่วนการป้องกันไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือ ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด ดังนั้นการติดมุ้งลวดให้ การสวมใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาวปกปิดไว้ไม่ให้ยุงกัดได้ รวมถึงการใช้ยาทา ไล่ยุง และต้องร่วมกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย โดยดูแลสิ่งแวดล้อมไม่ให้มีน้ำขังได้ และต้องทำให้บ้านโล่ง ไม่รก เพื่อป้องกันยุ่งไปอาศัย
สำหรับคนที่เคยเป็นไข้เลือดออกแล้ว ก็สามารถเป็นซ้ำอีกได้ เพราะไวรัสเดงกี่ที่เป็นสาเหตุของโรคมีถึง 4 สายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับโรคติดเชื้อจากไวรัสชนิดอื่น โรคไข้เลือดออกก็มีการพัฒนาวัคซีนเพื่อใช้ป้องกันด้วยเช่นกัน แต่ไม่ได้มีคำแนะนำให้ฉีดในวงกว้างเหมือนไวรัสไข้หวัดใหญ่
สำหรับวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกนั้น ออกแนะนำให้ฉีดในกลุ่มคนอายุ 9-45 ปี ที่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไวรัสเดงกี่สายพันธุ์อื่น การฉีดวัคซีนช่วยป้องกันการเป็นไข้เลือดออกซ้ำได้ประมาณ 60% และช่วยให้โรคอยู่ในระดับที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลได้ประมาณ 90%
ข้อเสียของวัคซีนนี้คือ มีราคาค่อนข้างแพง และต้องฉีดถึง 3 เข็ม และเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น จึงมีข้อควรระวังการฉีดค่อนข้างมาก การพิจารณาว่าใครควรฉีดหรือไม่ จึงต้องพิจารณาอย่างรัดกุมโดยแพทย์เท่านั้น
โดยสรุป ปี 2566 นี้เป็นปีที่ไข้เลือดออกระบาดค่อนข้างรุนแรงในประเทศไทย การป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัด การดูแลผู้ที่เป็นไข้โดยคิดถึงไข้เลือดออกไว้เสมอ หลีกเลี่ยงการใช้ยาลดไข้ที่มีผลต่อเกล็ดเลือด รวมถึงปรึกษาแพทย์ถึงความจำเป็นในการฉีดวัคซีน ในกรณีเคยเป็นไข้เลือดออกและกำลังอยู่ในพื้นที่ระบาด ทั้งหมดที่กล่าวถึงข้างต้นจะช่วยลดความสูญเสียที่อาจเกิดจากไข้เลือดออกหรือไวรัสเดงกี่ได้
รศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี