วันอังคาร ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ผู้หญิง
แนวหน้า TALK : ‘องอาจ คล้ามไพบูลย์’  วิเคราะห์‘เงินดิจิทัล’มอง‘การเมืองไทย’ เผยประสบการณ์ท่องแดน‘อิสราเอล-กาซา’

แนวหน้า TALK : ‘องอาจ คล้ามไพบูลย์’ วิเคราะห์‘เงินดิจิทัล’มอง‘การเมืองไทย’ เผยประสบการณ์ท่องแดน‘อิสราเอล-กาซา’

วันศุกร์ ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.
Tag : องอาจ คล้ามไพบูลย์ เงินดิจิทัล
  •  

“คืบหน้า” กันมาอีกนิดกับการแจก “เงินดิจิทัล” 1 หมื่นบาท นโยบายเรือธงของ “พรรคเพื่อไทย” หลังจากเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2566 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลักเกณฑ์ เช่น 1.ผู้ได้รับสิทธิ เป็นประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไป และมีเงินเดือนต่ำกว่า 70,000 บาท หรือมีเงินในบัญชีรวมกันน้อยกว่า 500,000 บาท ซึ่งคิดเป็นจำนวนประชากรผู้ได้รับจำนวน 50,000,000 คน

2.ที่มาของเงิน จะออก พ.ร.บ.เป็นวงเงิน 500,000 ล้านบาท ซึ่งมีความโปร่งใส ภายใต้การตรวจสอบถ่วงดุลในระบบรัฐสภา และรัฐบาลจะมีแผนจัดสรรเงินงบประมาณมาเพื่อจ่ายคืนเงินส่วนที่เป็นเงินกู้ตลอดระยะเวลา 4 ปี 3.สถานที่และระยะเวลาที่สามารถใช้ได้ การอัดฉีดครั้งแรกมีระยะเวลา 6 เดือนเพื่อให้เงินมีการหมุนเวียน และสามารถใช้จับจ่ายต่อได้จนถึงเดือนเม.ย. 2570 สามารถใช้ในอำเภอเดียวกับบัตรประชาชน


และ 4.สิ่งที่เงินดิจิทัลใช้ได้-ไม่ได้ แบ่งเป็น ในส่วนที่ใช้ได้ เช่น ใช้ซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภค-บริโภคได้เท่านั้น ขณะที่ในส่วนที่ใช้ไม่ได้ เช่น การจ่ายค่าบริการต่างๆ การซื้อสินค้าออนไลน์ การซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม และผลิตภัณฑ์จากกัญชาและพืชกระท่อมได้ การซื้อบัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณีได้ การชำระหนี้ การจ่ายค่าเล่าเรียน จ่ายค่าน้ำ-ไฟฟ้า-โทรศัพท์ การซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงไม่สามารถนำไปแลกเป็นเงินสด หรือแลกเปลี่ยนในตลาดต่างๆ

ย้อนไปก่อนหน้านั้นเพียง 1 วัน องอาจ คล้ามไพบูลย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้มาให้ความเห็น
ในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” วันที่ 9 พ.ย. 2566 ในประเด็นแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท เช่นกัน ว่า ด้านหนึ่งเห็นว่าเป็นสิทธิของรัฐบาลที่จะทำนโยบายนี้ เพราะเป็นนโยบายที่ได้หาเสียงไว้

แต่อีกด้านหนึ่งเมื่อได้เป็นรัฐบาล นโยบายนี้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง 1.แหล่งที่มาของเงิน จะกู้หรือไม่ หรือจะใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือจะเอาเงินมาจากไหนแต่รัฐบาลยังให้คำตอบไม่ได้ 2.การบริหารจัดการ จะแจกด้วยวิธีใด และพ่อค้า-แม่ค้า เมื่อได้ไปแล้วจะแลกกลับเป็นเงินสดอย่างไร 3.จำนวนงบประมาณที่ใช้ จากเดิมจะใช้ 5.6 แสนล้านบาท กับการแจกคน 56 ล้านคน แต่ต่อมาก็มีข่าวรัฐบาลจะใช้งบประมาณแผ่นดินปีละ 1 แสนกว่าล้านบาท เมื่อบวกกับเวลาบริหารราชการแผ่นดิน 4 ปี จะใช้งบประมาณรวม 4 แสนกว่าล้านบาท

ส่วนที่รัฐบาลบอกว่าจำเป็นต้องเร่งอัดฉีดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงมองว่านโยบายนี้เป็นเหมือนพายุที่จะพัดเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้คล่อง ซึ่งหากใช้ในเดือนก.พ. 2567 อาจเป็นไปได้ แต่หากรอไปใช้ในเดือน ก.ย. 2567 อาจไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว หรือต่อให้ใช้งบประมาณปีละ 1.5 แสนล้านบาท แต่การใช้เงินดิจิทัลกำหนดให้ใช้ได้ไม่เกิน 6 เดือน พ่อค้า-แม่ค้า รับเงินดิจิทัลไปก่อนแล้วรัฐบาลบอกจะแบ่งจ่าย คำถามคือเขาจะรอกัน 4 ปี อย่างนั้นหรือ เพราะคนทำมาค้าขายเขาก็ต้องการเงินหมุนเวียน และจริงๆ รัฐบาลก็ต้องการให้เงินหมุนเวียนเช่นกัน

นอกจากนั้น บริเวณที่จะใช้เงิน เดิมบอกว่าจะใช้ไม่เกิน 4 กม. ตอนนี้เป็นอำเภอ ก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะเพิ่มเป็นทั้งจังหวัดหรือเปล่า หรือจะใช้ทั้งประเทศอะไรอย่างไร แล้วใครควรจะได้เงินบ้าง ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้ความเห็นกันเยอะ บางคนบอกคนรวยไม่ควรได้ บางกลุ่มบอกจะรวยจะจนก็ควรได้เหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้ในสังคมมีคนคิด 3 แบบ 1.คัดค้านเลยว่าไม่ควรทำ โดยเฉพาะนักเศรษฐศาสตร์จะคัดค้านไม่กระตุ้นจริง ไม่คุ้มค่า ได้ไม่คุ้มเสีย ถ้านักเศรษฐศาสตร์จะมาแนวนี้

2.ควรทำแต่ก็ควรจะปรับแก้ เช่น ไม่ควรให้คนรวยบ้างอะไรบ้าง หรือให้กว้างขึ้นจาก 4 กิโลเมตร กลุ่มนี้ก็จะเป็นสภาอุตสาหกรรม สภาหอกการค้า สมาคมธนาคาร และ 3.ควรทำและให้ทำแบบที่ตอนหาเสียง คือแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท กับคนอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน และใช้จ่ายภายใน6 เดือน แน่นอนว่าคงเป็นกลุ่มที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ดังนั้นก็ต้องดูว่าในท้ายที่สุดรัฐบาลจะมีความเห็นออกมาอย่างไร

“ผมมีความเห็นว่า เรื่องนี้ที่เราฟังมาตั้งแต่ต้น ผมคิดว่ารัฐบาลประกาศเรื่องนี้ไม่ใช่ประกาศหลังจากเป็นรัฐบาล หรือมาแถลงนโยบายแล้วก็ประกาศ แต่ว่าได้ประกาศเรื่องนี้เป็นนโยบายหลักแล้วก็หาเสียงเลือกตั้งมาตั้งแต่เดือนเมษา-พฤษภาโน่น ซึ่งความเข้าใจของผมก็คือว่าหาเสียงแจกดิจิทัล 1 หมื่นบาท ผมเข้าใจว่าเป็นรัฐบาลปุ๊บมันทำได้ทันทีเพราะเขาคงต้องวางแผนแล้ว ต้องศึกษามาแล้วอย่างดี เอาเงินมาจากไหน แจกอย่างไร ใช้บล็อกเชนอย่างไร ใช้แอปพลิเคชั่นอย่างไร แต่พอมาแถลงนโยบายรัฐบาลเสร็จก็ยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย” องอาจ กล่าว

จากสิ่งที่มองเห็นข้างต้น รักษาการรองหัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวต่อไปว่า คนจึงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหมือนไม่ได้คิดเหมือนประกาศนโยบายตอนนั้นเพื่อให้มีคะแนนเสียงจากประชาชนมาก่อน ว่าหากเลือกพรรคเพื่อไทยจะได้ 1 หมื่นบาท ภายใน 6 เดือน ถ้าบ้านมี 5 คน อายุ 16 ปีขึ้นไป ก็ได้ 5 หมื่นบาท หรือ 10 คนก็ได้ 1 แสนบาท ตนเองจึงเห็นว่า นโยบายนี้ไม่ได้คิดอย่างรอบคอบมาก่อน ไม่ได้คิดอย่างสุดทาง เพราะหากคิดแบบสุดทางวันนี้ก็เริ่มทำได้เลย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันก็ยังไม่อาจบอกได้ว่ารัฐบาลทำนโยบายนี้ไม่ได้ แต่หากทำไม่ได้ ประชาชนก็คงจะลดความน่าเชื่อถือลง แต่การได้ประกาศก็เท่ากับเราต้องเตรียมการมาแล้วอย่างดี ถึงกระนั้นตนเองก็ไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะยอมถอย เพราะนี่คือนโยบายธงหรือนโยบายสำคัญของเขา และหากแจกในเดือน ก.พ. 2567 ได้จริง
ก็กระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่จะคุ้มหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เชื่อว่ารัฐบาลนายกฯเศรษฐา จะแจกเงินดิจิทัลแน่นอน

“ผมก็ฝากคุณเศรษฐาทวีสิน ไปว่า อยากให้ระมัดระวัง3 เรื่อง 1.ไม่ทุจริต 2.ไม่ผิดกฎหมาย3.ไม่ทำลายหลักการและระบบที่ถูกต้อง วินัยการเงินการคลังอะไรเยอะแยะ ไม่ทุจริตก็ต้องไม่ทุจริตคอร์รัปชั่นเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำไมผมเน้นเรื่องนี้ ก็ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลขณะนี้ เขาก็มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องไม่โปร่งใสอยู่พอสมควรในอดีตที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเรื่องจำนำข้าว อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นคำเตือนของผม ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล” องอาจ กล่าว

ในการพูดคุยกันครั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการ บุญยอด สุขถิ่นไทย ยังชวนสนทนากันในอีกหลายเรื่อง เช่น “สงครามอิสราเอล-ฮามาส” ในฐานะที่ องอาจ เคยดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่ง รักษาการรองหัวหน้าพรรค ปชป. ให้มุมมองว่า พื้นที่บริเวณนั้นไม่ว่าประเทศอิสราเอล ฉนวนกาซา เวสต์แบงก์ เป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งและเรื่องราวมากมายมายาวนานนับพันปี แต่แม้จะไม่มองไปไกลขนาดนั้น ลำพังช่วง 10-20 ปี ล่าสุด อิสราเอลกับกลุ่มฮามาสก็มีการสู้รบกันมาอย่างต่อเนื่อง กลุ่มฮามาสออกมาบ้าง-อิสราเอลเข้าไปบ้าง

กระทั่งเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 2566 กลุ่มฮามาสเป็นฝ่ายส่งกองกำลังข้ามฉนวนกาซามาโจมตีอิสราเอล และจับคนไปเป็นตัวประกันราว 200 คน และมีผู้เสียชีวิต 1,400 รายจากนั้นจึงตามด้วยการเอาคืนของอิสราเอลอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ทั้งนี้ ตนเองเคยเดินทางไปอียิปต์เมื่อ 10 ปีก่อน ก็มีคนในพื้นที่เล่าว่าบริเวณฉนวนกาซามีอุโมงค์ ขณะที่การเข้า-ออกระหว่างฉนวนกาซากับภายนอก จุดที่สะดวกที่สุดคือด่านราฟาห์ ชายแดนอียิปต์-ฉนวนกาซา ส่วนด่านที่ติดกับอิสราเอล บางครั้งมีการอนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์เข้า-ออกเพื่อทำงานบ้าง แต่ปัจจุบันปิดหมดแล้ว

“ผมเดินทางจากไคโรที่อียิปต์ เดินทางผ่านด่านราฟาห์เพื่อจะเข้าไปในนั้น จริงๆ อยากจะไปดูอุโมงค์ แต่เนื่องจากผมไม่มีเวลาที่จะอยู่ข้ามคืน แล้วจริงๆ ไม่ใช่เข้าไปถึงแล้วจะดูได้เลย เพราะจริงๆ เขาก็ไม่อยากให้ดูหรอก แต่ผมก็จะหาหนทาง แต่สุดท้ายคนอียิปต์ที่พาผมไปก็บอกว่าตรงนี้คืออุโมงค์ ก็คือมันจะดูเหมือนบ้านคนธรรมดา ตอนหลังมีสื่อนิตยสาร แต่ก่อนไม่มีโซเชียลน่าจะไทม์ (Time) หรือนิวส์วีค (Newsweek) นี่ละเอามาเผยแพร่ มีรูปภาพ นานแล้ว เป็น 20 ปีแล้ว

เพราะอิสราเอลก็กดดันในฉนวนกาซามาตลอดก็คืออาหารการกินอะไรต่างๆ ก็เข้าไปไม่ได้สะดวก เพราะฉะนั้นอุโมงค์ก็คือเพื่อที่จะลักลอบเอาของเข้าไปได้ เพราะในนั้นในเมืองหลักๆ เช่น กาซาซิตี้ นึกภาพเหมือนเป็นเมืองเมืองหนึ่ง มหาวิทยาลัยก็มี มีคนอยู่ประมาณ 2.3 ล้านคน แออัดยัดเยียดก็ตรงกาซาซิตี้ ทางตอนเหนือ กับเมืองข่าน ยูนิส ทางตอนใต้ นอกนั้นสมมุติถ้าคุณข้ามด่านชายแดนราฟาห์เข้าไป บริเวณตรงนั้นก็จะเหมือนเมืองชนบทในตะวันออกกลาง” องอาจ กล่าว

ส่วนการช่วยเหลือแรงงานไทย องอาจ เล่าว่า ก่อนหน้านี้เคยเดินทางไปอิสราเอลเพื่อเตรียมความพร้อมแผนอพยพ เพราะบริเวณนั้นก็มีการสู้รบอยู่แล้วเป็นระยะๆ เพียงแต่ว่าเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 2566 จะรุนแรงกว่าครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา ซึ่งต้องบอกว่ากระทรวงการต่างประเทศสามารถทำงานประสานกับภาคส่วนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และมีทีมงานที่มีประสบการณ์ ดังนั้นการอพยพแรงงานจึงทำตามขั้นตอนอยู่แล้ว ยิ่งในสถานการณ์สงครามมีการปะทะกัน การอพยพไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะแรงงานไทยจำนวนมาอยู่ในภาคใต้ของอิสราเอล

โดยหากนึกภาพภูมิประเทศอิสราเอล บริเวณนั้นจะเป็นพื้นที่แห้งแล้ง แต่อิสราเอลก็หาทางปรับปรุงให้มีน้ำสำหรับทำการเกษตรได้ แต่ใช้ชาวต่างชาติไปเป็นเกษตรซึ่งก็คือคนไทย ทำกันแบบนี้มาแล้ว 20-30 ปี ขณะที่กลุ่มฮามาส โดยส่วนตัวเชื่อว่าคงไม่มองชาวไทยหรือชาวต่างชาติเป็นศัตรู เพราะศัตรูของกลุ่มนี้คืออิสราเอล และเชื่อว่าคงรู้เรื่องชาวต่างชาติมาอิสราเอลคือมาหางานทำ คงไม่มีใครอยากจากบ้านไปไกล แต่ที่ต้องไปเพราะหางานที่ทำแล้วมีรายได้มากที่สุด เพราะสัญญาทำงานที่อิสราเอลคือประมาณ 5 ปี 3 เดือน

ทั้งนี้ การอพยพคนไทยประมาณ 8,000 คน ไม่มีปัญหาอะไร แต่ยังมีอีก 20,000 คน ที่ต้องการอยู่อิสราเอลต่อเพราะยังมีพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือที่ไม่ใช่พื้นที่สู้รบจึงยังพออยู่ได้ ประกอบกับการเดินทางไปทำงานต้องกู้หนี้ยืมสิน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งไปใหม่ๆ หากรีบกลับมาจะเอาเงินที่ไหนใช้หนี้ เพราะทำงานที่นั่นมีรายได้ 5-6 หมื่นบาทต่อเดือน หักค่าใช้จ่ายต่อคนเชื่อว่าไม่เกินเดือนละ 1 หมื่นบาท ยิ่งทำการเกษตรอยู่แล้วผลผลิตบางส่วนแบ่งมาทำอาหารกินเองได้ แต่หากเป็นคนที่อยู่มานานสัก 4 ปีกว่าๆ เกือบ5 ปีแล้ว อาจตัดสินใจกลับก็ได้

ปิดท้ายด้วยประเด็น “ทิศทางการเมืองไทย”รักษาการรองหัวหน้าพรรค ปชป. มองว่า การเมืองสมัยนี้เป็นการเมืองยุคสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media)ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เน้นเรื่องภาพและเสียงที่ปรากฏอย่างมาก แน่นอนว่ากิจกรรมทางการเมืองยังคงมีอยู่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือช่องทางการสื่อสาร ในอดีตมีสื่อกระแสหลักอย่างโทรทัศน์ วิทยุและสื่อสิ่งพิมพ์ แต่ปัจจุบันทุกคนเป็นผู้สื่อข่าวได้หมด การเมืองจึงต้องปรับให้เป็นตามสถานการณ์ของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

ส่วนการใช้ถ้อยคำหยาบคายหรือถ้อยคำรุนแรง ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าพบมากในนักการเมืองยุคหลังๆ ประเด็นนี้จริงๆ ในรัฐสภาจะมีนักการเมืองที่มีคุณลักษณะพิเศษอยู่ทุกยุคสมัย หากเป็นพรรคเดียวกันอาจมีการพูดคุยตักเตือนกันบ้าง แต่หากเป็นคนละพรรคก็ต้องเคารพให้เกียรติเขา เพราะคนที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน ทุกคนก็ล้วนมั่นใจว่าตนเองสุดยอด โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านการเลือกตั้งมาในระบบแบ่งเขต จะไปบอกไปแนะนำอะไรก็ไม่รู้ว่าเขาพร้อมจะรับคำแนะนำหรือเปล่า ขณะที่การคุกคามทางเพศที่มีข่าวกับนักการเมือง เรื่องนี้มองว่าเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล

“อันนี้ต้องพูดตรงไปตรงมา มันไม่ใช่พฤติกรรมของพรรคก้าวไกล ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น มันเป็นพฤติกรรมของบุคคล ขณะนี้มันเกิดกี่คนผมก็ไม่ทราบ ที่เห็นก็คือ
2 คน ฉะนั้นก็เป็นพฤติกรรมบุคคล ก็ต้องจัดการพฤติกรรมบุคคลเหล่านี้ไปตามกระบวนการที่มีอยู่ เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุดเกิดขึ้นแล้วเขาก็ควรจะรับผลของสิ่งที่เขากระทำ ซึ่งมันเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง” องอาจ กล่าว

หมายเหตุ : สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดย บุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงหัวค่ำโดยประมาณ!!!

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

'รมว.ยุติธรรม'เปิดห้องแล็บโชว์สื่อฯ ชู'สถาบันนิติวิทยาศาสตร์'ศูนย์กลางตรวจยาเสพติดทันสมัยที่สุดในอาเซียน

เคลียร์ชัด!!! ‘ตาเมือนธม’ขึ้นทะเบียนก่อน‘กัมพูชา’เป็นเอกราช

‘ป.สามสี’ชักธงรบ! ‘ช่องบก’ตัวจุดชนวน ‘ศักดิ์ศรีไทย’ที่จะถอยไม่ได้

'แพทย์รามาธิบดี รุ่น 18' แนบ 55 รายชื่อ ประกาศหนุนมติ'แพทยสภา'

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved