วันเสาร์ ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ในรอบปี 2566 ภาวะโลกร้อนกำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลกโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรมและภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ตลอดจนส่งผลกระทบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในกรณีของไทยส่งผลให้สภาพอากาศมีความแปรปรวนมากขึ้นในช่วงที่มีฝนตก ฝนก็จะตกหนักมากจนเกิดภาวะน้ำท่วม หรือในช่วงที่ฝนแล้งก็จะแล้งหนักมาก
ปัญหาเหล่านี้จะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงพืชผลทางการเกษตรและส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม อีกทั้งภาวะโลกร้อนทำให้ความต้องการใช้น้ำเพิ่มสูงขึ้น อาจทำให้ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรน้ำระหว่างผู้ใช้น้ำกลุ่มต่างๆ ในไทยหรือระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้หรือในช่วงที่เกิดวิกฤตภัยแล้ง
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต ที่ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมจะต้องหันมาให้ความสำคัญและร่วมมือกันอย่างจริงจังในระยะถัดไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำทั้งในด้านความต้องการ และการจัดหา เช่น การเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำต่างๆ อาทิ บ่อกักเก็บน้ำ หรือออกแบบมาตรการรวมทั้งแนวทางที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เป็นต้น
หากไปดูประสบการณ์จากหลายประเทศเป็นเครื่องยืนยันว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรม คือตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการน้ำได้ ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตนมผงของเนสท์เล่ ประเทศเม็กซิโกที่ใช้เทคโนโลยีดึงน้ำออกมาจากนมที่แปรรูป ซึ่งทำให้โรงงานมีน้ำเพียงพอต่อความต้องการใช้โดยที่ไม่ต้องพึ่งน้ำจากแหล่งภายนอก หรือสิงคโปร์ที่มีการติดตั้งเซ็นเซอร์เก็บข้อมูลน้ำตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งช่วยทำให้เกิดการบริหารจัดการน้ำแบบเรียลไทม์อย่างมีประสิทธิภาพหรือแม้แต่อิสราเอลก็มีการพัฒนานวัตกรรมชลประทานน้ำหยด ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำในภาคเกษตรได้อย่างมหาศาลและมีการพัฒนาโครงข่ายน้ำด้วยระบบท่อใต้ดินที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้สามารถผันน้ำจากพื้นที่ที่มีน้ำส่วนเกินไปสู่พื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำได้ เช่นเดียวกับโครงการเดลตาเวิร์กส์ (Delta Works) ของเนเธอร์แลนด์ ที่มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำต่างๆ ที่หลากหลาย เช่น คันกั้นน้ำ จนทำให้เนเธอร์แลนด์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการบริหารจัดการน้ำและป้องกันปัญหาน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.jpg)
ส่วนการตระหนักถึงปัญหาสภาวะโลกร้อน มีจุดเริ่มต้นมาจากการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP เกิดขึ้นในการประชุม ครั้งที่ 21 ในปี 2015 ณ กรุงปารีส จึงได้เกิด “ความตกลงปารีส” ขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักคือควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม พร้อมกำหนดเป้าหมายที่ทะเยอทะยานขึ้นโดยตั้งเป้าหมายไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส และควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ในระดับที่โลกดูดซับได้เอง (Net Zero emissions) ภายในปี 2050 พร้อมกับกำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องให้การช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศยากจนเพื่อต่อสู้โลกร้อน
นับจากนั้น การประชุม COP ครั้งต่อๆ มาก็เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการเพื่อบรรลุเป้าหมายความตกลงปารีส ซึ่งการปฏิบัติจริงนั้นไม่ง่าย เฉพาะเรื่องการช่วยเหลือทางการเงินของประเทศร่ำรวยแก่ประเทศยากจนก็ยังต้องผลักดันกันอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งล่าสุดในการประชุม COP28 ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในเดือนธันวาคมนี้ มีการนำเสนอข้อมูลว่าประเทศกำลังพัฒนาต้องการเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อปรับตัวรับมือกับปัญหาโลกร้อนและจำเป็นต้องใช้เงินอีกหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด
.jpg)
สำหรับสาระสำคัญที่สรุปได้จากการประชุม COP28 มีการเน้นย้ำถึงเป้าหมายการรักษาระดับไม่ให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส และตระหนักถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง ร้อยละ 43 ภายในปี 2573 และร้อยละ 60 ภายในปี 2578ตามเดิม ซึ่งยังสวนทางกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบันที่ยังคงเพิ่มขึ้น พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเป็น 3 เท่า และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเป็น 2 เท่าภายในปี 2573 นอกจากนั้นยังมีการประกาศข้อตกลงจัดตั้งกองทุนชดเชยค่าความเสียหายและความสูญเสีย ซึ่งเป็นกองทุนแรกของโลกที่จ่ายเงินชดเชยค่าผลกระทบที่ไม่อาจย้อนคืนจากหายนะทางสภาพอากาศให้แก่ประเทศยากจนและเปราะบาง
อย่างไรก็ดี แม้จะมีข้อตกลงเรียกร้องให้ลดการใช้พลังงานฟอสซิล แต่ในขณะเดียวกันโลกยังคงต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 80% เช่น น้ำมัน ก๊าซและถ่านหิน ทำให้การประชุมกลายเป็นเสียงแตกฝ่ายหนึ่ง เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป แคนาดา และประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก รวมกว่า 100 ประเทศมองว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นตัวการหลักในการก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อน การจะบรรลุเป้าหมายจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกคือ ต้อง “เลิก” ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และให้ระบุข้อตกลงในการประชุมนี้
ขณะที่ ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ออกมาคัดค้าน เช่น ซาอุดีอาระเบีย ประเทศสมาชิกกลุ่มโอเปกพลัส อิหร่าน อิรักและรัสเซีย ที่ต้องพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นหลัก ระบุว่าการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล อาจเป็นข้อตกลงที่สุดโต่งเกินไป ทำให้การลงนามในร่างสุดท้าย จึงไม่มีการระบุถึงแผนลดการใช้พลังงานฟอสซิล
.jpg)
ตามข้อมูลของ IMF พบว่าในปี 2022 ประเทศต่างๆ ใช้เงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลรวมกันทั้งโลกเป็นมูลค่า7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 7.1% ของจีดีพีโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นอีกมากกว่าสองเท่าตัวจากจำนวน 2 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2020 ปัจจัยสำคัญคือราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นมากหลังจากรัสเซียบุกยูเครน ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องอุดหนุนราคาพลังงานเพื่อลดความเดือดร้อนของภาคธุรกิจและครัวเรือนทำให้ IMF อยากเห็นการขึ้นราคาคาร์บอน เพราะมันจะเป็นแรงจูงใจที่ใหญ่ที่สุดในการลดการปล่อยคาร์บอน
ขณะที่รายงาน Net-Zero Industry Tracker 2023 Edition จัดทำโดยสภาเศรษฐกิจโลก ได้วิเคราะห์ให้เห็นถึงการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขณะนี้ถือว่ายังไม่ใกล้เคียงต่อเป้าหมายคาร์บอนศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2050โดยองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA)และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ มองว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การปล่อยคาร์บอนมีอัตราเร่งเฉลี่ยที่ 3% เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมต่างๆ ความต้องการบริโภคและภาคส่วนอื่นๆ ซึ่งกว่า 90% ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และอุตสาหกรรมเหล็ก ที่ต่างเผชิญกับความซับซ้อนอย่างมากในการลดคาร์บอนดังนั้นการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมเหล่านี้ไปสู่เป้าหมาย Net Zero ต้องใช้เงินมากถึง 13.5 ล้านล้านดอลลาร์
การปรับเปลี่ยนนี้ต้องใช้การลงทุนด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การลงทุนด้วยเงินอย่างเดียวยังไม่เพียงพอภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องการทั้งทิศทางนโยบายและการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เข้ามาช่วยด้วยเพื่อพยุงให้หน้าที่ของอุตสาหกรรมสามารถประคองตัวเองให้เข้าถึงทรัพยากรและทำให้เศรษฐกิจเติบโตด้วย
แน่นอนว่าเป้าหมาย Net Zeroเป็นแรงกดดันที่ทำให้แต่ละประเทศให้ความสำคัญกับการ “เพิ่มมาตรการทางการค้า” ทั้งมาตรการภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษี เพื่อสกัดสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตโดยพบว่าตั้งแต่ปี 2565 เริ่มมีการออกมาตรการราคาคาร์บอน (carbon pricing instruments) ไม่ว่าจะเป็นมาตรการ carbon tax หรือมาตรการทางภาษี และมาตรการนำระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System หรือ ETS) ใน 47 ประเทศทั่วโลก โดยในปี 2567 เชื่อว่ามาตรการต่างๆ ของแต่ละประเทศจะมีความเข้มข้นมากขึ้น
แน่นอนว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ต้องมีแนวทางที่ชัดเจน ทั้งการออกกฎหมาย การเร่งกำหนดอัตราภาษีคาร์บอนขณะที่ภาคเอกชนก็ต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับกระแสโลก
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี