โรคใบหน้ากระตุกครึ่งซีก (hemifacial spasm) เป็นโรคที่มีอาการกระตุกที่บริเวณกล้ามเนื้อใบหน้าข้างใดข้างหนึ่ง เช่น บริเวณรอบดวงตา แก้ม มุมปาก หน้าผาก ซึ่งถูกควบคุมโดยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ในบางครั้งอาการกระตุกอาจลามมาถึงบริเวณลำคอได้ อาการกระตุกมีลักษณะเป็นๆ หายๆไม่สามารถคาดเดาหรือควบคุมการกระตุกได้ ในผู้ป่วยบางรายอาจส่งผลให้มีอาการลืมตาลำบาก กล้ามเนื้อใบหน้าหดเกร็งจนทำให้ดูหน้าเบี้ยว ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการเพียงข้างเดียว โรคใบหน้ากระตุกครึ่งซีกพบได้บ่อยในเพศหญิงมากกว่าเพศชายประมาณ 2 เท่า และมักเริ่มมีอาการในช่วงอายุประมาณ 40-60 ปี แม้ว่าโรคใบหน้ากระตุกครึ่งซีกจะไม่ทำให้เกิดอันตรายที่ร้ายแรง แต่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันและความมั่นใจในการเข้าสังคมของผู้ป่วย
สาเหตุของโรคใบหน้ากระตุกครึ่งซีก
1.เกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุซึ่งพบในผู้ป่วยส่วนใหญ่ โดยมักเกิดจากการกดทับหรือการระคายเคืองของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 จากหลอดเลือดสมองในบริเวณใกล้เคียง
2.มีสาเหตุจากโรคอื่นๆ เช่น มีเนื้องอก ก้อน หรือหลอดเลือดที่ผิดปกติ กดทับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7การบาดเจ็บทางสมองที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 หรือเกิดขึ้นตามหลังโรคอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก (Bell palsy) เป็นต้น
การวินิจฉัยโรคใบหน้ากระตุกครึ่งซีก
แพทย์สามารถให้การวินิจฉัยโรคนี้จากประวัติร่วมกับการตรวจร่างกายทางระบบประสาท ซึ่งจะไม่พบความผิดปกติอื่นๆ นอกจากการกระตุกที่ใบหน้าตามการทำงานของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan)หรือ การตรวจแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (MRI) อย่างไรก็ตาม การตรวจดังกล่าวอาจช่วยในการวินิจฉัยสาเหตุของโรค หากแพทย์สงสัยว่าอาการกระตุกนั้นมีสาเหตุจากโรคอื่นๆ และช่วยในการวางแผนการรักษาหากพิจารณาการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด
การรักษาโรคใบหน้ากระตุกครึ่งซีก
1.การรักษาด้วยยารับประทาน เช่น ยาคลอนาซีแปม (clonazepam) ยาคาร์บามาซีปีน (carbamazepine) ยาบาโคลเฟน (baclofen) เป็นต้น การรักษาด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเพียงเล็กน้อย มีอาการกระตุกไม่บ่อยครั้ง การรักษาด้วยยารับประทานมักก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ เช่น อาการง่วง ซึม เป็นต้น
2.การรักษาด้วยการฉีดโบทูลินั่มท็อกซิน (botulinum toxin) มีผลยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้สามารถควบคุมอาการกระตุกในตำแหน่งที่ฉีดได้การรักษาด้วยวิธีนี้ได้ผลดีและมีผลข้างเคียงน้อย จึงถือเป็นการรักษาหลักสำหรับผู้ป่วย โดยทั่วไปการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน จะออกฤทธิ์ได้นานประมาณ 3-4 เดือน เมื่อยาหมดฤทธิ์กล้ามเนื้อจะกลับมากระตุกอีก ดังนั้นผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องเข้ารับการฉีดยาอย่างต่อเนื่อง ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ได้แก่ อาการช้ำ เลือดออกใต้ผิวหนังในตำแหน่งที่ฉีด ตาแห้ง หนังตาตก หลับตาไม่สนิท ซึ่งมักหายได้เองในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์
3.การรักษาด้วยการผ่าตัด มักพิจารณาในผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้จากการรักษาด้วยการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือ
ไม่ต้องการมาเข้ารับการฉีดยาบ่อยครั้ง สามารถทำการรักษาโดยการผ่าตัดส่องกล้องขยาย เพื่อแยกหลอดเลือดออกจากเส้นประสาท (microvascular decompression) ซึ่งอาจช่วยให้โรคใบหน้ากระตุกหายขาดได้ อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้มีความเสี่ยงจากผลแทรกซ้อนของการผ่าตัด เช่น ภาวะกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง ศูนย์เสียการได้ยิน เป็นต้น
โรคใบหน้ากระตุกครึ่งซีกเป็นโรคเรื้อรัง ไม่หายขาด แม้ไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตแต่มักสร้างความรำคาญ ขาดความมั่นใจ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการเข้าสังคม การรักษาด้วยวิธีการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน เป็นการรักษาที่ได้ผลดีและมีผลข้างเคียงน้อย หากมีความกังวลใจถึงอาการใบหน้ากระตุก ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเข้ารับการประเมินอาการ ให้การวินิจฉัย และแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
รศ.นพ.ประวีณ โล่ห์เลขา
หน่วยประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี