สดช. แถลงผลสำเร็จโครงการ “ต่อยอด Soft Power ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล” แปลงทุนทางวัฒนธรรมเป็นทุนทางเศรษฐกิจ
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดงานแถลงความสำเร็จของ “โครงการส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัล (Digital Cultural Heritage) ระยะที่ 2” ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายในการถ่ายทอดเสน่ห์ของศิลปวัฒนธรรม โบราณสถาน โบราณวัตถุ นาฏศิลป์ และประเพณีต่างๆ ของไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในรูปแบบดิจิทัลคอนเทนท์เชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าเหล่านี้ให้คงอยู่สืบต่อไปในทุกยุคทุกสมัย โดยในระยะที่ 2 มีกิจกรรมหลัก 2 กิจกรรม ได้แก่ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการผ่านกระบวนการปฏิบัติการนโยบายสาธารณะ (Policy Lab) เปิดโอกาสรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อร่วมมือกันออกแบบและจัดทำมาตรการ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์มีการจัดประชุม Policy Lab ไปแล้วจำนวน 3 ครั้ง และกิจกรรมที่ 2 คือ การจัด Hackathon กิจกรรมการเรียนรู้และแข่งขันเชิงสร้างสรรค์
โดย สดช. ได้หยิบยกประเด็น แฟชั่นไทยมาเป็นธีมในการแข่งขันภายใต้หัวข้อ “Hackulture 2023 Illuminate Thai อัปเวลแฟชั่นไทยด้วยดิจิทัล” มุ่งเน้นในการถ่ายทอดแฟชั่นไทยสู่รูปแบบดิจิทัล ทั้งสาขาเทคโนโลยี และสาขาสื่อมัลติมีเดีย แบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทนักเรียน นิสิต นักศึกษาและประเภทประชาชนทั่วไป มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมแข่งขันจากทั่วประเทศรวมกว่า 60 ทีม จำนวนทั้งสิ้น 287 คนมีผู้เข้าร่วมที่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกจำนวน 40 ทีมซึ่งได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ การธำรงรักษามรดกทางวัฒนธรรมของชาติการสร้างสรรค์ผลงาน การถ่ายทอดเรื่องราวและฝึกปฏิบัติการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมให้อยู่ในรูปแบบ DigitalContent และมีการจัดการแข่งขันรอบนำเสนอผลงานรอบสุดท้ายและมอบรางวัลไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการ สดช.
ทีมผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้ ได้แก่ ทีม Fash.Design รับถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี โดยส่งผลงานเข้าแข่งขันในสาขาเทคโนโลยี ประเภทประชาชนทั่วไป นำเสนอแพลตฟอร์มออนไลน์ ช่วยเหลือผู้ประกอบการชุดไทยท้องถิ่นและชุดไทยดั้งเดิม ที่ขาดทักษะด้านออนไลน์และภาษาต่างประเทศ ด้วยเทคโนโลยี AI สร้าง Virtual Model และดิสเพลย์ที่สวยงาม แปลได้70 ภาษา และเชื่อมต่อ e-commerce กว่า 30 แพลตฟอร์มทั่วโลก เพื่อปลุกพลัง Soft Power แฟชั่นไทยให้ก้าวไกลสู่ตลาดสากล
ภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า “เทคโนโลยีดิจิทัลคือสิ่งสำคัญที่จะรักษาวัฒนธรรม ซึ่งเป็นมรดกของไทยให้คงอยู่สู่ลูกหลาน เมื่อรักษาแล้วจะทำอย่างไรในการต่อยอดให้กลายเป็นเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า เศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งอยู่ใน 6 ยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งการขับเคลื่อนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคมดิจิทัล รวมไปถึงการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล และพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรม Digital Content”
“โครงการนี้ทำให้คนได้นำเทคโนโลยีมาประยุกต์กับวัฒนธรรมแล้วเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่างๆซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน เรื่องการส่งเสริม Soft Power เราตั้งเป้าไว้ว่า ปี 2570 เราจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ GDP ด้านดิจิทัลไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอันดับ IMD ในปี 2566 ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 35 แผนดิจิทัลที่สดช. เสนอรัฐบาล คือไทยจะเป็นอันดับที่ 30 ในปี 2570 หรืออันดับที่ 2 ในอาเซียน”
สุวิชา บุญช่วยรอด ผอ.ศูนย์พัฒนานโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
นอกจากนั้น สดช. ยังได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มด้านศิลปะและวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ ในการส่งเสริมการนำเข้าข้อมูลวัฒนธรรมไทยสู่ระบบดิจิทัล ได้แก่ ระบบสารสนเทศด้านวัฒนธรรมและแผนที่วัฒนธรรม (Cultural Map Thailand) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และ Platform คลังข้อมูล “วัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ” (นวนุรักษ์) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) อีกด้วย
ภายในงานยังมีกิจกรรมเสวนา หัวข้อ “การพัฒนาอุตสาหกรรม Digital Content ในมุมมองด้านวัฒนธรรม เพื่อสร้าง Soft Power ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศ” โดยตัวแทนจากภาครัฐอาทิ สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในมุมมองการใช้ Soft Power เพื่อต่อยอดสร้างผลประโยชน์เชิงพาณิชย์มากยิ่งขึ้น จุดแข็งและจุดอ่อนการพัฒนาอุตสาหกรรม Digital Content เพื่อส่งเสริม Soft Power รวมไปถึงตัวแทนจากภาคเอกชนกับการใช้ Soft Power ในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ส่วนประเด็นที่น่าสนใจจากเวทีเสวนาครั้งนี้ เช่น เนื้อหาของมรดกวัฒนธรรมไม่สามารถนำไปใช้งานได้ทันที ต้องรีครีเอทให้กลายเป็นสิ่งใหม่ เพื่อนำไปต่อยอดทางเศรษฐกิจได้ เช่น วรรณคดีอิเหนาก็น่าสนใจอยากให้มีคนนำไปต่อยอดด้วยดิจิทัล ภาครัฐยินดีที่จะให้ภาคเอกชน นักเรียน นักศึกษา นำข้อมูลเกี่ยวกับมรดกวัฒนธรรมไปใช้ประโยชน์ได้ เมื่อมีการนำเอามรดกทางวัฒนธรรมไปใช้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นจะเป็นผลประโยชน์ทางอ้อม เช่น ละครเรื่องพรหมลิขิต ทำให้ผู้คนไปท่องเที่ยวที่อยุธยา ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทรงพลังอย่างมาก และสิ่งหนึ่งที่ภาครัฐกำลังเร่งดำเนินการ ก็คือ การผลักดันให้อุตสาหกรรมดิจิทัลเป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ อาทิ การขายสินค้าผ่านช่องทางดิจิทัล เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี