“เราเห็นว่าประวัติศาสตร์ปัจจุบันไม่ค่อยให้ความเป็นธรรมกับรัชกาลที่ 7 เท่าไร คือเราอ่านประวัติศาสตร์ เราเห็นว่าท่านถูกกระทำต่างๆ มากมาย ด้วยความที่กระแสของประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนกันขึ้นมาในยุคหลังๆ มักจะเน้นไปในทางโจมตีทำให้การเสียสละของพระองค์ด้อยค่าลง เราแค่รู้สึกว่าเราอยากคืนความเป็นธรรมให้พระองค์ อยากให้คนไทยรู้ว่าท่านสู้เต็มที่แล้ว ท่านพยายามเต็มที่แล้วที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองมันราบรื่นที่สุด”
วิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่น 2475 Dawn of Revolution กล่าวในรายการ “แนวหน้า Talk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2567 ถึงแรงบันดาลใจในการสร้างแอนิเมชั่นเรื่องนี้ขึ้น ซึ่งต้องบอกว่า นับตั้งแต่ถูกเผยแพร่ทั้งการฉายในโรงภาพยนตร์ในรอบปฐมทัศน์ รวมถึงเผยแพร่บนเว็บไซต์ยูทูบ ได้กลายเป็น “ดราม่า” เกิดข้อถกเถียงและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นต่างๆ นานา เช่น บิดเบือนประวัติศาสตร์บ้าง หรือเลือกนำเสนอประวัติศาสตร์เพียงบางแง่มุมบ้าง
ต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว วิวัธน์ แนะนำว่า ก่อนอื่นอยากให้ไปชมกันก่อน แล้วนำเนื้อหานั้นไปสืบค้นดูว่ามีบันทึกไว้ที่ใดบ้าง เพราะมีการอ้างอิงบันทึกหรือชื่อหนังสือ รวมถึงชื่อผู้เขียน ในการนำมาใช้เป็นข้อมูลสร้างแอนิเมชั่นเรื่องนี้ ส่วนที่มองว่าตนสร้างแอนิเมชั่นเรื่องนี้เพราะต้องการปลุกเร้า เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ เพราะที่ทำคือต้องการให้คนไทยเข้าใจรัชกาลที่ 7 ตามความเป็นจริง เพราะตนก็อ่านประวัติศาสตร์มาแล้วก็เคยเจอความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ วิพากษ์วิจารณ์พระองค์ท่านอย่างไม่ถูกต้องตนแค่อยากชี้แจงให้เห็นว่ารัชกาลที่ 7 ท่านเสียสละเพียงใด
ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) แกนนำคณะราษฎรออกประกาศคณะราษฎร ผู้คนก็รู้สึกโกรธแค้นกันมาก ซึ่งอาจนำไปสู่สถานการณ์ทั้งการก่อหวอดทำร้ายคณะราษฎร หรือก่อกบฏหรือปฏิวัติอะไรขึ้นมาอีก ในเวลานั้น รัชกาลที่ 7 ท่านก็ส่งจดหมายไปยังพระประยูรญาติ ขออย่าเคลื่อนไหวใดๆ จากนั้นเมื่อหลวงประดิษฐ์มนูธรรม รวมถึงพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) มาขอพระราชทานอภัยโทษ รัชกาลที่ 7 ท่านก็เขียนจดหมายส่งไปเพิ่มเติมอีกฉบับว่าปรับความเข้าใจกันแล้ว
ซึ่งรัชกาลที่ 7 ได้ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันรักษาความสงบ ให้ประเทศไทย (หรือสยามในเวลานั้น) เดินไปได้ แม้กระทั่งช่วงที่มีการสู้รบระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดช ท่านก็พยายามไกล่เกลี่ยให้ทุกฝ่ายมาเจรจากัน อย่าทะเลาะตีกันเพราะคนไทยไม่ควรมาฆ่ากันเอง ตนจึงมองว่ารัชกาลที่ 7 ท่านเสียสละให้ทุกอย่างแล้ว แต่ประวัติศาสตร์แนวใหม่ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องเหล่านี้
วิวัธน์ เล่าต่อไปว่า แอนิเมชั่นชุดนี้ใช้เวลาสร้างนานถึง 3 ปี มีทีมงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดประมาณ 30-40 คน มีทั้งคนที่เข้ามาแล้วก็ออกไป จุดเริ่มต้นมาจากคนกลุ่มเล็กๆ แล้วจึงหาทีมงานเพิ่มในภายหลัง “หลายคนเป็น “ตัวจี๊ด” พร้อมปะทะโต้เถียงบนโลกโซเชียล” แต่ตนก็ได้บอกไปว่า “ตีกันไป-มา แบบนั้นไม่ได้ประโยชน์ มาทำความจริงป้อนให้เป็นความรู้จะดีกว่า” ส่วนที่เลือกนำเสนอในรูปแบบแอนิเมชั่น เพราะตนนั้นวาดรูปเป็น ดังนั้น หากมีส่วนใดต้องแก้ไขก็สามารถทำได้เองเมื่อเทียบกับภาพยนตร์ที่ต้องใช้นักแสดง
“ตอนแรกผมไม่รู้นะว่างบประมาณในการสร้างภาพยนตร์มันต้องใช้เท่าไรต่อเรื่องหนึ่ง แล้วเป็นเรื่องพีเรียด (Period - เนื้อเรื่องแนวย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์) ต้องย้อนอดีต หาสถานที่ พร็อพ ขนาดวาด (รูป) ยศยังไม่ตรงเลยตอนนี้ แล้วบอกว่าทหารอยู่เบื้องหลัง ยศยังไม่ตรงเลย” วิวัธน์ กล่าว ซึ่งรวมถึงชี้แจงหนึ่งในข้อสงสัยว่าแอนิเมชั่น 2475 Dawn of Revolution ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพหรือไม่
เมื่อริเริ่มโปรเจกท์แล้วก็เริ่มวางแผนการสร้าง ซึ่งจากการศึกษาก็พบว่า หากเป็นภาพยนตร์ที่ใช้นักแสดง ทุนสร้างอาจอยู่ที่ประมาณ 15-20 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย อีกทั้งทุนประมาณนี้คงจะเป็นเพียงภาพยนตร์ที่ถ่ายทำด้วยฉากเขียว (Green Screen) แล้วใส่กราฟิกเป็นฉากหลังเข้าไป ผลงานที่ออกมาก็อาจไม่น่าดู หรือหากจะทำแอนิเมชั่นแบบ 3 มิติ เท่าที่ไปสอบถามราคามา พบว่าต้องใช้งบประมาณสูงถึง 100 ล้านบาทจึงมาสรุปที่การทำเป็นแอนิเมชั่น 2 มิติ แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มทำในทันที เพราะสอบถามราคาแล้วต้องใช้งบประมาณ 30 ล้านบาทซึ่งเวลานั้นยังมีทุนไม่พอ
ดังนั้นเพื่อที่จะให้แอนิเมชั่น 2475 Dawn of Revolution เกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาให้ได้ จึงใช้วิธีสร้างทีมนักวาดขึ้นมา สามารถทำรูปแบบเฟรมต่อเฟรม ออกแบบตัวละครและฉากทั้งหมด แล้วจึงนำเค้าโครงที่ร่างไว้นี้ไปให้สตูดิโอทำ ซึ่งพบว่าลดต้นทุนลงได้มาก แต่เมื่อเห็นผลงานแล้วก็ยังไม่ถูกใจ ท้ายที่สุดทีมงานจึงเลือกที่จะลงมือทำกันเองทั้งหมด โดยไปหาคนที่ชำนาญเรื่อง In Between หรือการเชื่อมต่อภาพแต่ละเฟรมให้ดูเหมือนตัวละครขยับเขยื้อนได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแอนิเมชั่นมีความยาว 2 ชั่วโมง ต้องใช้รายละเอียดมากในขณะที่มีทีมงานน้อย
“ใช้แรงงานเยอะแต่มีคนน้อย ดังนั้นเราก็จะเห็นว่าบางเฟรมเราก็จะใช้ซ้ำๆ บางเฟรมเราก็จะใช้ 3D มาผสม เพราะ 3Dเราสามารถทำแล้ว Render ทีเดียวแล้วมันก็จะเป็นภาพขยับต่อเนื่อง ในฉากที่ทหารเยอะๆ เน้นใช้ 3D เข้ามาช่วย มันจะเป็นสื่อผสมหลายๆ อย่าง ใช้ Motion Graphic บ้าง ใช้ 3D ใช้ 2D ความรู้สึกผมเหมือนเป็นเชฟที่เห็นของเหลือในตู้เย็น สุดท้ายปรุงอย่างไรก็ได้ ออกมาให้มันเล่าเรื่อง 2 ชั่วโมงนี้จบอย่างที่เราต้องการ พอมันจบเสร็จปุ๊บ! โล่ง!ตอนนั้นคือโล่งยกภูเขาออกจากอกมันเสร็จแล้ว แค่นั้นผมพอใจแล้ว หลังจากนั้นผมไม่สนใจแล้วคนดูจะรู้สึกอย่างไร” วิวัธน์ ระบุ
ในช่วงแรกที่แอนิเมชั่นถูกเผยแพร่ วิวัธน์ ตั้งเป้าไว้ว่ามียอดรับชมประมาณหลักหมื่นวิวก็สูงแล้ว แต่ปัจจุบัน (ยอด ณ วันที่ 21 มี.ค. 2567 ที่รายการแนวหน้า Talk ตอนนี้เผยแพร่)ทราบว่าเกิน 8 แสนวิวไปแล้ว ยังไม่ต้องนับว่าการดูผ่านหนึ่งจออาจมีคนดูได้หลายคน เช่น อย่างที่เห็นมีทหารนั่งดูกันเป็นร้อยคน และแม้ตนจะไม่ได้ตั้งเป้าว่าอยากได้ยอดวิวเท่านั้นเท่านี้ แต่ทุกครั้งที่ยอดวิวขึ้น คนที่สนับสนุนแอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็ดีใจและตื่นเต้นไปกับทีมผู้สร้างด้วย ตนก็จะคอยรายงานยอดเป็นระยะๆ โดยมีหนึ่งในทีมงานมาช่วยวาดรูปประกอบทุกๆ ครั้งที่ยอดเพิ่มครบ 1 แสนวิว
แต่สำหรับตน “ยอดวิวไม่สำคัญเท่าการที่มีคนเข้ามาดูแล้วรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น” และแม้จะเลือกการนำเสนอกึ่งๆ จะเป็นนิยาย (Fiction) แต่ข้อมูลที่นำเสนอมาจากบันทึกจริงในประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าโดยบุคคลต่างๆ ที่อยู่ในช่วงเวลานั้นซึ่งรวมถึงของฝ่ายคณะราษฎรผู้ก่อการด้วย ทั้งนี้ เมื่อรวบรวมข้อมูลมาได้แล้วก็ต้องมาเลือกอีกว่าจากข้อมูลจำนวนมากจะนำเสนออย่างไรให้พอดีกับเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงได้โดยสอดคล้องกับเป้าหมายหลักคือให้เข้าใจบทบาทของรัชกาลที่ 7 ที่พยายามประคับประคองสถานการณ์ในยุคเปลี่ยนผ่านให้ไปรอด
เช่น รัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ร่างโดยคณะราษฎรหลายคนที่ร่วมก่อการก็ไม่ได้อ่าน แต่รัชกาลที่ 7 ท่านอ่านและแนะนำให้ไปแก้ไขมาใหม่ นอกจากนั้นยังมีความขัดแย้งภายในกลุ่มคณะราษฎร ระหว่างหลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับพระยาทรงสุรเดช ซึ่งเข้าใจได้ว่าหลวงประดิษฐ์ฯ หรือนายปรีดี มีความเป็นนักวิชาการแนวคิดหัวก้าวหน้า ณ ช่วงเวลานั้น แต่ยอมรับว่ายังมีรายละเอียดอีกมากที่ไม่ได้ใส่เข้าไป รวมถึงหลังจากฉายรอบปฐมทัศน์ ก็ยังต้องนำส่วนที่บกพร่องในฉบับแรก (เช่น ภาพขาด ภาพไม่เชื่อมกันลงตัว คำบรรยายผิด) ไปแก้ไขก่อนอัปโหลดขึ้นยูทูบ
“ทำไมไม่ฉายโรง? ประเด็นแรกเวลาตอนผมทำหนังเสร็จ ถ้าเกิดเราจะเอาไปฉายตามโปรแกรมทั่วไปปกติ เราต้องผ่านกองเซ็นเซอร์ก่อน จัดเรตหนัง อนุญาตเรียบร้อยแล้วถึงจะฉายโรงได้ แต่ผมก็ประเมินแล้ว ผมเข้ากองเซ็นเซอร์ผมโดนหั่นเหี้ยนแน่เลย ประเด็นที่ผมกังวลที่สุดคือเราอาจจะโดนตัดฉากรัชกาลที่ 7 ออก กลัวกว่าจะกระทบ เพราะผมบอกว่าเรื่องนี้ การเล่าเรื่อง 2475 ถ้าเราไม่เล่าในมุมของสถาบัน เรื่องนี้ไม่มีทางเล่าจบ ดังนั้นผมเลยคิดว่าผมแค่ฉายปฐมทัศน์แล้วผมฉายออนไลน์ให้ดูฟรี มันไม่จำเป็นต้องผ่านกองเซ็นเซอร์ เราสามารถทำได้
เหมือนเราทำสารคดี (Documentary) สักอันหนึ่ง แต่เป็นการเล่าในรูปแบบแอนิเมชั่น และเปิดฉายให้ดูฟรีเพื่อให้ความรู้ ผมเลยมองแค่มุมนั้น ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องเปิดฉายหาเงินอะไรเข้า แล้วประเด็นของวันนั้น ที่เราเชิญพวกพี่ๆ ไปดู (รอบปฐมทัศน์ในโรงภาพยนตร์) คนที่เป็น Royalist คนที่รักสถาบันเข้าไปดู ผมอยากทดสอบด้วยว่าเราเล่าในมุมนี้รับไหวไหม? รับได้ไหม? เอารัชกาลที่ 7มาเป็นคาแร็กเตอร์” วิวัธน์ อธิบายเหตุผลว่าเหตุใดจึงเลือกเผยแพร่ทางยูทูบแทนที่จะฉายในโรงภาพยนตร์
หลังจัดฉายรอบปฐมทัศน์ วิวัธน์ เล่าว่า หนึ่งในคนที่ตนได้พูดคุยคือ พี่ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค ซึ่งที่ผ่านมาระหว่างที่พยายามสร้างแอนิเมชั่นเรื่องนี้ พี่ดี้จะถามตนตลอดว่าไหวหรือไม่ แต่เมื่อแอนิเมชั่น 2475 Dawn of Revolution เสร็จสมบูรณ์พร้อมเผยแพร่ คำตอบของพี่ดี้ที่ตนเห็นหลังเดินออกจากโรงภาพยนตร์คือรอยยิ้ม ตนก็รู้สึกดีใจ เพราะถ้าพี่ดี้บอกว่าผ่านก็ถือว่าเป็นผลงานที่ผ่านแล้ว ส่วนผู้ชมคนอื่นๆ เท่าที่เห็นส่วนใหญ่ก็ชอบแอนิเมชั่นเรื่องนี้ ซึ่งก็ทำให้ทีมงานทุกคนมีกำลังใจ และตั้งใจพยายามปรับปรุงก่อนเผยแพร่ทางยูทูบออกมาให้ดีที่สุด
ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลังผลงานแอนิเมชั่นถูกเผยแพร่ออกไป แน่นอนว่าตนก็ต้องรับผิดชอบด้วยตนเองในฐานะผู้สร้าง แต่สำหรับตนคือผ่าน 3 ปีของโปรเจกท์นี้มาได้ก็ไม่คิดอะไรแล้ว ทั้งนี้ขอยืนยันว่า “ความตั้งใจของการสร้างแอนิเมชั่น 2475 Dawn of Revolution ไม่ใช่เพื่อทำร้ายหรือทำลายใคร แต่เพื่อทำประวัติศาสตร์ให้ชัดเจนและเป็นประวัติศาสตร์ที่เป็นธรรมต่อทุกคน” ส่วนคำถามเรื่องทุนสร้างที่สงสัยว่าได้รับการสนับสนุนจากกองทัพหรือไม่ ตนบอกว่าแอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งใช้ทุนสร้างเป็นหลักสิบล้านบาท เป็นทุนของตนแล้ว 5 ล้านบาท แม้จะเป็นหนี้ก็ตาม
ซึ่งก็ต้องบอกว่า โปรเจกท์แอนิเมชั่น 2475 Dawn of Revolution ตนต้องไปหยิบยืมเงินจากญาติสนิทมิตรสหายมาเพื่อทำให้สำเร็จ และในวันที่ผลงานแล้วเสร็จก็ถือว่าสำเร็จแล้วเพราะได้ทำในสิ่งที่ต้องการมาตลอด สำหรับตนวันนี้ถือว่าถึงตายก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว จะเป็นหนี้หรือ
ล้มละลายก็ไม่เป็นไร โดยมีเพื่อนคนหนึ่งที่รู้สถานการณ์ทางการเงินของตนดีก็มาถามบ้างว่าหาทางออกของปัญหาชีวิตได้หรือยัง? ตนก็บอกไปว่าชีวิตมีทางออกเสมอ เพราะต่อให้ล้มละลายต้องปิดบริษัทตนก็ยังไม่ตาย ไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ ตนเพียงอยากให้ผลงานนี้ทำเสร็จสมบูรณ์
“อย่างที่ผมบอก ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรผมต้องทำให้มันเสร็จ ดังนั้น ผมต้องบอกเลยว่าผมแลกไปเยอะมาก ดังนั้นการที่มากล่าวหาว่าผมได้รับงบประมาณจากกองทัพ หรือมีเงินจากส่วนไหนๆ มาช่วยซัพพอร์ตโปรเจกท์นี้ผมถือว่าดูถูกผมมากเลย ดังนั้นผมก็เลยมองว่าวิธีการทำแบบนี้ผมอาจจำเป็นต้องใช้กฎหมาย แต่ถ้าเกิดคุณมาด่าว่าบิดเบือน หรือด่าว่าแอนิเมชั่นห่วย-กาก ผมไม่กังวลอะไร ไม่ว่าอะไร คุณวิจารณ์ได้ แต่ถ้าเกิดคุณมาด้อยค่าความตั้งใจมุ่งมั่นของทีมงาน หรือเครดิตของคนที่ตั้งใจทุ่มเทเพื่องานนี้ ผมแค่ไม่ยอมเรื่องนี้เรื่องเดียว”วิวัธน์ กล่าว
สุดท้ายแล้วกับคำถามที่ว่า “จะทำภาคต่ออีกหรือไม่?”สำหรับตนนั้นมีวิธีการเล่าเรื่องและโครงเรื่องอยู่ในหัวอยู่แล้วและมีพี่ๆ หลายคนอาสาจะช่วยหาทุนสนับสนุนให้ แต่ตนก็ต้องบอกว่าถ้าไม่มั่นใจว่าทำแล้วจะสำเร็จก็ไม่กล้าจะไปขอรับการสนับสนุนจากใคร เพราะผลงานที่เพิ่งเสร็จไปก็ทุ่มไปจนหมดแล้ว อีกทั้งตอนที่เริ่มทำ ตนไม่เคยทำแอนิเมชั่นไม่เคยทำภาพยนตร์ขนาดยาว ไม่ใช่คนเขียนบท เป็นเพียงคนอ่านประวัติศาสตร์ที่มีทักษะการเล่าเรื่อง 2475 Dawn of Revolution จึงถือเป็นเรื่องแรกที่ทำออกมา
ดังนั้นลำพังมีเงินอย่างเดียวก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำออกมาสำเร็จ เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ อาทิ มี 2 ฝ่ายที่มีมุมมองแตกต่างกัน แต่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นตรงกันว่าอยากให้นำเสนอเกี่ยวกับกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 รวมถึงมีฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าคงไม่กล้าทำ แต่ตนบอกเลยว่าหากทำเรื่องนี้จะยิ่งร้อนกว่ากรณีเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เสียอีก คำถามคือจะรับกันได้หรือไม่ แล้วก็จะต้องมาถกเถียงกันอีกเรื่องข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เพราะบางประเด็นสืบเท่าไรก็เจอปม แต่ปมเหล่านั้นสามารถอนุมานหรือดูบริบทของเรื่องที่จะเล่าได้
“ขั้นตอนที่ยากที่สุดในการทำงานคือการหาหลักฐานข้อมูล แล้วถึงจะหยิบประเด็นจากหลายๆ มุมมองเพื่อหาว่ามุมมองต่างๆ มองเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องดียวกันคือเรื่องอะไร เราถึงหยิบพวกนี้มาเล่า” วิวัธน์ กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี