ผู้บริหารบริษัท สถาปนิก 49 จำกัด  ประภากร วทานยกุล  กรรมการผู้จัดการ และประธาน 49 กรุ๊ป เผยภาคภูมิใจกับผลงานของบริษัทสถาปนิกของคนไทย โดยเฉพาะโครงการหอสมุดส่วนพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน รวมทั้งได้ร่วมสร้างเมืองภายใต้แนวคิด “Building Cities”  ตลอด 30 ปีแห่งการก่อตั้ง อีกทั้ง ตั้งเป้ายกระดับเมืองไทยเป็น “Design Hub” แห่งภูมิภาคเอเชีย เพื่อรองรับ AEC

ประภากร วทานยกุล  กรรมการผู้จัดการ และประธาน 49 กรุ๊ป  เผยว่า  “สังคมที่ดี ย่อมเกิดจากคนที่ดี และเมืองที่ดีย่อมเกิดจากสถาปนิกที่มีคุณภาพ” ข้อคิดสั้นๆ แต่ได้ใจความนี้ คือแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดการก่อตั้ง “บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด” บริษัทสถาปนิกของคนไทย ที่สามารถยืนหยัดต่อสู้ และดำเนินธุรกิจมาจนถึงปัจจุบัน ครบ 3 ทศวรรษในป 2556 นี้

มองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา หรือในปี พ.ศ. 2526 บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด แม้เป็นเพียงบริษัทเล็กๆ ที่มีทีมงานเพียงแค่ 10 คนเท่านั้น แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่ พร้อมกับใจที่เชื่อมั่นในการก้าวขึ้นเป็นบริษัทประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมแบบครบวงจร ทั้งการวางผัง จัดทำผังแม่บท ออกแบบอาคาร ตลอดจนเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุน ทำให้เพียงไม่นาน บริษัทเล็กๆ แห่งนี้ก็เริ่มขยายธุรกิจและเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จนสามารถจัดตั้งบริษัท “49 กรุ๊ป” ทำหน้าที่ดูแลบริษัทต่างๆ ในเครือที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ  มีทีมงานมากกว่า 300 ชีวิต

“จุดเด่นสำคัญประการหนึ่งที่สร้างให้บริษัทได้รับการยอมรับและมอบหมายให้ดำเนินโครงการระดับประเทศและรับดับนานาชาติ ก็คือการใช้หลักการทำงานแบบ Team Approach และ Studio Approach กล่าวคือ ทีมงานทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับผู้บริหาร ซึ่งครอบคลุมการทำงานตั้งแต่ขั้นต้นไปจนถึงขั้นเขียนแบบก่อสร้าง และก่อสร้างจนเสร็จสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้เองช่วยให้งานดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง”

นอกจากนั้น อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ “49 กรุ๊ป” คือการได้ร่วมสร้างเมืองตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาภายใต้แนวคิด “Building Cities”(บิวท์ดิ้งซิตี้) เพราะบริษัทฯ เชื่อมั่นว่า เมือง...ไม่ได้เกิดจากฝีมือของสถาปนิกคนใดคนหนึ่ง หากแต่เมืองที่ว่านี้ เกิดจากมือของผู้คนที่อยู่อาศัยในเมืองนั้นๆ ทุกคน และนี่เป็นสิ่งที่สถาปนิกจะทำให้ได้ด้วยการร่วมมือกับลูกค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับผลงานที่เข้าถึงสังคมในทุกระดับชั้น

ทั้งนี้ ผลงานที่ภูมิใจสุดซึ้ง ประภากร เผยว่า คือ โครงการหอสมุดส่วนพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน ดุสิต กรุงเทพฯ นอกจากนั้น บริษัทฯ  ฝากผลงานไว้ต่างประเทศมากมาย เช่น อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์, เวียดนาม, พม่า, สิงคโปร์ ฯลฯ

พิสูจน์จากผลงานระดับคุณภาพที่คว้ารางวัลมาแล้วมากมายทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ อาทิ ศูนย์สารสนเทศ สำนักราชเลขาธิการ ถ.ศาลายา-บางภาษีไ ด้รับรางวัลเหรียญทองจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์, ศูนย์เอ็นเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ ถนนวิภาวดีรังสิต ได้รับรางวัล LEED FOR CORE & SHELL ระดับ PLATINUM โดย U.S.GREEN BUILDING COUNCIL, บียู แลนด์มาร์ค คอมเพล็กซ์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้รับรางวัล Acasia Gold Medal Awards for Architectural Excellence เป็นต้น อีกทั้ง ยังมีผลงานอันสร้างความภาคภูมิใจให้กับบริษัท คือ รางวัลชนะเลิศเหรียญทองจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จากการประกวดออกแบบอาคารที่ทำการกระทรวงการต่างประเทศ ถ.ศรีอยุธยา

“วันนี้บริษัทสถาปนิก 49 จำกัด เดินทางมาครบ 30 ปีแล้ว ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาหลายฤดูกาล สร้างเสริมและสั่งสมประสบการณ์มาเต็มที่ วันนี้ขอตั้งปณิธานว่า เราจะไม่ใช่แค่บริษัทสถาปนิกเท่านั้น แต่เราจะเป็นองค์กรที่เห็นถึงคุณค่าของคนเป็นสำคัญด้วย เพราะเราเชื่อมั่นว่า สังคมที่ดี ย่อมเกิดจากคนที่ดี และเมืองที่ดี ก็ต้องเกิดจากสถาปนิกที่มีคุณภาพ และไม่ว่าโครงการนั้นจะเป็นอะไร เราจะนำประสบการณ์ที่มีอยู่ทั้งหมดของเราออกมาใช้ เพื่อสร้างผลงานที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบของเรา เพื่อเมืองของเรา เพื่อโลกของเราต่อไป”

เมื่อถามถึงแผนงานในอนาคต ประภากร ทิ้งท้ายว่า  เราตั้งเป้ายกระดับเมืองไทยเป็น “Design Hub” แห่งภูมิภาคเอเชียเมื่อประเทศไทยเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้วจะมีการเปิดกว้างให้เคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือได้อย่างเสรีใน 7 สาขาวิชาชีพ โดย “สถาปนิก” คือ หนึ่งในวิชาชีพดังกล่าวซึ่งจะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือครั้งมโหฬารในระดับภูมิภาค นอกจากประเทศไทยจะต้องเตรียมความพร้อมรองรับผลกระทบแล้ว เรายังต้องเร่งสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนอีกด้วย