เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 (50 ปีที่แล้ว) นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันมายาวนานในระดับประชาชนและภาคเอกชน เมื่อ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ตัดสินใจเยือนกรุงปักกิ่ง เพื่อเจรจากับนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล นำไปสู่ข้อตกลงในการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐไทยและจีน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันที่จะเปิดสถานเอกอัครราชทูตในประเทศของตน และเริ่มต้นกระบวนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือในมิติต่าง ๆ และได้กลายมาเป็นรากฐานของความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ขยายตัวต่อเนื่องตลอดห้าทศวรรษต่อมา
เพื่อนบ้านที่เชื่อมด้วยภูเขาและสายน้ำ
ไทยและจีนคือเพื่อนบ้านที่แม้จะมีพรมแดนคั่นกลางด้วยภูเขาและสายน้ำ แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมาอย่างยาวนาน ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาตินี้ย้อนกลับไปนับพันปี ตั้งแต่การค้าทางเรือในสมัยโบราณ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมผ่านเส้นทางการค้า การอพยพของชาวจีนโพ้นทะเลที่มาตั้งรกรากในไทย และการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่หล่อหลอมทั้งสองสังคมอย่างแนบแน่น ชาวจีนในไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และครอบครัว ความเข้าใจและความคุ้นเคยในระดับประชาชนจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มั่นคงและยั่งยืน
การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในปี 1975 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟนอยู่แล้วได้รับการยกระดับไปสู่อีกขั้น ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ไทยและจีนได้ร่วมมือกันในหลากหลายมิติ ทั้งในระดับรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยมีการแลกเปลี่ยนคณะ ผู้นำ นักธุรกิจ นักศึกษา และศิลปินอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและความไว้วางใจซึ่งกันและกันในระดับที่นานาชาติยกย่องว่าเป็นแบบอย่างของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
ลึกซึ้งถึงระดับสายสัมพันธ์ทางสายเลือด
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงด้านภูมิรัฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังลึกซึ้งถึงระดับสายสัมพันธ์ทางสายเลือด มีรากฐานยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งแต่การค้าทางเรือในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ซึ่งได้เชื่อมโยงทั้งสองประเทศให้มีความใกล้ชิด ขณะที่ชาวจีนจำนวนมากอพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยอย่างกลมกลืน
ในปัจจุบัน มีประชากรไทยเชื้อสายจีนกว่า 10 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 14% ของประชากรไทยทั้งหมด เป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในทุกมิติของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ การศึกษา การเมือง และวัฒนธรรม บุคคลสำคัญในไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หลายคนก็มีเชื้อสายจีน ไม่ว่าจะเป็น นักการเมือง นายกรัฐมนตรี นักวิชาการ ศิลปิน หรือนักธุรกิจ
ชาวไทยเชื้อสายจีนจำนวนมากยังคงรักษาความผูกพันกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมผ่านการพูดภาษาจีน การเข้าร่วมเทศกาล เช่น ตรุษจีน เชงเม้ง และสารทจีน ตลอดจนการศึกษาต่อในประเทศจีน การมีสายสัมพันธ์ทางครอบครัวระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ทำให้เกิดเครือข่ายสังคมที่เอื้อต่อการขยายความร่วมมือในระดับประชาชนสู่ประชาชน (people-to-people ties) อย่างแน่นแฟ้น
มูลนิธิ สมาคม และหอการค้าของชาวไทยเชื้อสายจีนยังมีบทบาทเป็นสะพานเชื่อมระหว่างภาคเอกชนจีนกับไทย เป็นเครือข่ายที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการลงทุน การแลกเปลี่ยนการศึกษา และการพัฒนาท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานที่สำคัญ ที่ช่วยเสริมสร้างทุนทางสังคมระหว่างสองประเทศให้มีพลวัตและความยืดหยุ่นท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สู่ชะตาร่วมกันในอนาคต
คำว่า "ชะตาร่วม" (命运共同体) ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ใช้ในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ ที่จีนร่วมมือด้วย ได้สะท้อนความจริงของความสัมพันธ์ไทย–จีนในปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง ทั้งสองประเทศไม่เพียงแต่ร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ยังร่วมรับมือกับความท้าทายระดับภูมิภาคและโลก ทั้งในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงทางอาหาร ความปลอดภัยของห่วงโซ่อุปทาน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ในวาระครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างไทยกับจีน เรามิได้เพียงย้อนรำลึกถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ หากแต่ยังได้มองเห็นเส้นทางแห่งอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ ทั้งสองประเทศพร้อมจะสานต่อความร่วมมือในรูปแบบใหม่ ๆ ทั้งในมิติของเทคโนโลยีดิจิทัล เศรษฐกิจเขียว การศึกษา และนวัตกรรม ด้วยความเชื่อมั่นในมิตรภาพที่หยั่งรากลึก ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และความปรารถนาร่วมในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้น
50 ปีที่ผ่านมา คือบทพิสูจน์ของการเดินร่วมฝ่าฝนลมแห่งประวัติศาสตร์ แต่เส้นทางข้างหน้าคือการเฉลิมฉลองความร่วมมือที่จะยั่งยืนและดียิ่งขึ้น ไทยและจีนจะยังคงเป็นเพื่อนบ้านที่เข้าใจกัน หุ้นส่วนที่เติบโตไปด้วยกัน และญาติมิตรที่ร่วมสร้างโลกที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี