มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง–เพื่อนมะเร็งปอด ผนึกพันธมิตรจัดเสวนา รณรงค์คนไทยตื่นตัว ‘PM2.5’ ตรวจคัดกรอง รู้เร็ว รับมือ ‘มะเร็งปอด’ ได้

มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง–เพื่อนมะเร็งปอด ผนึกพันธมิตรจัดเสวนา รณรงค์คนไทยตื่นตัว ‘PM2.5’ ตรวจคัดกรอง รู้เร็ว รับมือ ‘มะเร็งปอด’ ได้

วันจันทร์ ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

เนื่องในเดือนแห่งการตระหนักรู้โรคมะเร็งปอดสากล มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง ร่วมกับกลุ่มเพื่อนมะเร็งปอด และภาคีพันธมิตร จัดงานเสวนา “เพราะทุกลมหายใจมีค่า…ก้าวผ่านมะเร็งปอด รู้เร็ว รับมือได้” เพื่อสร้างความเข้าใจว่าโรคมะเร็งปอดไม่ใช่เรื่องของคนสูบบุหรี่อีกต่อไป แต่ “PM2.5” กำลังกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของทุกคน พร้อมรณรงค์ให้คนไทยตระหนักและเข้ารับการตรวจคัดกรองตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งขณะนี้สามารถเข้าถึงได้ภายใต้สิทธิประโยชน์ “บัตรทอง 30 บาท” ทั้งยังเดินหน้าสนับสนุน “พ.ร.บ.อากาศสะอาด” ให้เป็นวาระด้านสุขภาพระดับชาติ เพื่อสุขภาวะที่ยั่งยืนของคนไทยในระยะยาว


 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ. ไนยรัฐ ประสงค์สุข หัวหน้าแผนกอายุรศาสตร์โรคมะเร็ง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เปิดเผยว่า  ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่มากถึง 23,713 รายต่อปี หรือเฉลี่ยเกือบ 2.7 รายต่อชั่วโมง โดยมะเร็งปอดถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสองของโรคมะเร็งทั้งหมดในไทย หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีงานวิจัยในปี พ.ศ. 2562 ชี้ว่าเป็นปัจจัยอันดับสองที่เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดมากถึง 15% และแนวโน้มนี้ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“สิ่งที่น่ากังวลไม่แพ้จำนวนผู้ป่วยคือ การที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองเป็นมะเร็งปอด เนื่องจากไม่ได้เข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้หลายรายถูกวินิจฉัยในระยะลุกลาม โดยสถิติจากไทยและภูมิภาคเอเชียระบุว่า 57% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดถูกตรวจพบในระยะที่ 4 ขณะที่มีเพียง 16% เท่านั้นที่พบในระยะแรก ทั้งที่หากตรวจพบตั้งแต่เริ่มต้น โอกาสรักษาหายมีสูงถึง 92% แต่เมื่อเข้าสู่ระยะที่ 4 การรักษาจะซับซ้อน ต้องใช้การดูแลแบบบูรณาการ ทั้งเคมีบำบัด การฉายรังสี และยามุ่งเป้า ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง การตระหนักรู้และการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือความจำเป็น เพราะยิ่งตรวจเจอไว ยิ่งรักษาได้เร็ว และนั่นอาจหมายถึงโอกาสในการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น”

ผศ.นพ.ไนยรัฐ ประสงค์สุข

 

นอกจากนี้ เสียงจากผู้ป่วยจริงในงานก็ยิ่งสะท้อนภาพความจริงในสังคมไทยได้ชัดเจนขึ้น วิศรุต อุ่นอารมณ์ ลูกชายผู้ดูแลคุณแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 กล่าวว่า “แม้ครอบครัวเราจะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ใช้เครื่องฟอกอากาศสม่ำเสมอ ปลูกต้นไม้รอบบ้าน และพยายามทำให้บ้านปลอดภัยที่สุด แต่เรากลับชะล่าใจ ไม่เคยพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพหรือคัดกรองมะเร็งปอด เพราะคิดว่าไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากคุณแม่ไม่เคยสูบบุหรี่และไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ จนต้นปีที่ผ่านมาเริ่มเบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงอย่างผิดสังเกต ทั้งที่ไม่มีอาการไอหรือสัญญาณเตือนอื่น ๆ กระทั่งพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 ซึ่งตอนนั้นตับของคุณแม่อ่อนแอเกินกว่าจะใช้ยามุ่งเป้าได้ การรักษาจึงยากขึ้นมาก มะเร็งลุกลามไปยังกระดูกสันหลังและอวัยวะอื่น ๆ ทำให้ต้องเน้นการดูแลแบบประคับประคอง ทุกวันนี้คุณแม่ยังคงต่อสู้อย่างเข้มแข็ง ส่วนเราก็ให้กำลังใจและพยายามหาทางรักษาที่ดีที่สุดเพื่อคุณแม่อย่างไม่ย่อท้อ เพราะบทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้คือ ‘อย่าชะล่าใจ แม้จะคิดว่าเราระมัดระวังมากแค่ไหนก็ตาม’”

ขณะที่ ศุภาทร กัลยาณสุต ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 เล่าว่า “แม้จะเป็นคนรักสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่เคยสูบบุหรี่ และไม่มีใครในครอบครัวที่สูบบุหรี่เลย แต่วันหนึ่งกลับพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอดจากการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 4 และต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการผ่าตัด เคมีบำบัด และยามุ่งเป้า การรักษาเหล่านี้ไม่เพียงใช้เวลายาวนาน แต่ยังส่งผลต่อร่างกายและจิตใจ อีกทั้งยังตามมาด้วยภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก แม้จะได้รับการรักษาตามสิทธิ์ แต่ยามุ่งเป้าที่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน จำนวน 30 เม็ดต่อเดือน ยังคงมีค่าใช้จ่ายสูงถึงประมาณ 70,000 บาทต่อเดือน ทำให้ความกังวลไม่ได้อยู่เพียงเรื่องสุขภาพ แต่รวมถึงภาระทางการเงินที่ต้องเผชิญในระยะยาวด้วย”

กัญฐนา อภิรภากรณ์

 

จิตนิภา ภักดี ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 เปิดเผยว่า “ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4  ขณะมีอายุเพียง 29 ปี ทั้งที่ไม่มีประวัติสูบบุหรี่หรือพฤติกรรมเสี่ยงใดๆ สิ่งที่ทำให้ตั้งคำถามคือการเติบโตมาในจังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีหมอกควันและค่าฝุ่น PM2.5 สูงในบางช่วงของปี จึงเชื่อว่ามลพิษทางอากาศอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยอาการเริ่มต้นมีทั้งไอเรื้อรัง น้ำหนักลดลงรวดเร็ว และเหนื่อยง่ายต่อเนื่องนาน 2 เดือน เมื่อตัดสินใจเข้ารับการตรวจอย่างละเอียด ก็พบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 ชนิดเซลล์ไม่เล็ก พร้อมการกลายพันธุ์ของยีน EGFR ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่ไม่เคยสูบบุหรี่ การวินิจฉัยในระยะลุกลามส่งผลกระทบอย่างหนักทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และการใช้ชีวิต เหตุการณ์นี้ทำให้ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่า มะเร็งปอดไม่ได้เกิดแค่กับผู้สูงอายุหรือคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง แต่อายุน้อยก็สามารถเป็นได้ และโรคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป”

ด้าน กัญฐนา อภิรภากรณ์ จากสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ กล่าวว่า “สมาคมฯ ก่อตั้งขึ้นจากความตั้งใจของภาคประชาชนที่ลุกขึ้นมาเรียกร้อง ‘สิทธิในการหายใจอากาศสะอาด’ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน เพราะสุขภาพที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล แต่คือรากฐานของสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตฝุ่น PM2.5 ที่กำลังกลายเป็นต้นตอสำคัญของปัญหาสุขภาพเรื้อรังในประเทศไทย โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจและมะเร็งปอด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชาชนทุกกลุ่ม สมาคมฯ จึงสนับสนุนการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาล โดยมุ่งหวังให้เป็นกฎหมายสำคัญในการจัดการต้นเหตุของปัญหานี้อย่างยั่งยืน เพื่อให้คนไทยทุกคนได้หายใจอย่างมั่นใจ และมีสุขภาพดีอย่างเท่าเทียมทั่วประเทศ”

แม้สังคมไทยจะเริ่มตื่นตัวต่อปัญหาฝุ่น PM2.5 ผ่านข้อเสนอด้านนโยบายและกฎหมายเพื่อจัดการต้นตอของมลพิษทางอากาศ แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามควบคู่กันคือการให้ความสำคัญกับ “การตรวจคัดกรองมะเร็งปอด” เพราะยิ่งตรวจพบเร็ว ยิ่งมีโอกาสรักษาได้มากขึ้น ด้วยนวัตกรรม AI ที่ช่วยคัดกรองโรคจากภาพถ่ายเอกซเรย์ทรวงอกจึงเป็นอีกหนึ่งความหวังของระบบสาธารณสุขไทย ซึ่งปัจจุบันได้รับการบรรจุอยู่ในสิทธิประโยชน์ของบัตรทองแล้ว ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพไทยจาก “การรักษาระยะท้าย” สู่ “การป้องกันและวินิจฉัยระยะแรก” อย่างยั่งยืนและเท่าเทียม เพื่อให้ทุกลมหายใจของคนไทยปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top