‘กุลบุตร - กุลธิดากาชาด’ ไม่ใช่แค่การคัดสรร แต่เป็นการเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งจิตอาสา

‘กุลบุตร - กุลธิดากาชาด’ ไม่ใช่แค่การคัดสรร แต่เป็นการเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งจิตอาสา

วันพุธ ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ในยุคที่วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด คำว่า “จิตอาสา” อาจถูกมองข้ามไปในหลายโอกาส แต่ไม่ใช่สำหรับพวกเขา...เหล่าผู้สมัครโครงการสรรหา “กุลบุตร-กุลธิดากาชาด” ประจำปี 2568

การรวมตัวกันของคนรุ่นใหม่ ด้วยหัวใจจิตอาสา เมื่อสำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด สภากาชาดไทย ได้เปิดรับสมัครโครงการสรรหา “กุลบุตร-กุลธิดากาชาด” ประจำปี 2568 โครงการนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากบรรดาคนรุ่นใหม่ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ และสิ่งสำคัญพวกเขาสมัครเข้ามาด้วยหัวใจแห่งความเสียสละและพร้อมช่วยเหลือ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่สภากาชาดไทยเฟ้นหา เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของกาชาด


การได้รับตำแหน่ง “กุลบุตรกาชาด ประจำปี 2568” ในครั้งนี้ ได้ต่อยอดความตั้งใจแน่วแน่ของ อาร์เซนอล - กฤษฎา ชูสุข เด็กหนุ่มจากจุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้มีใจรักจิตอาสาและพร้อมอย่างเต็มที่ ที่จะเป็นกระบอกเสียงส่งต่อสิ่งดีๆ ให้แก่ผู้อื่น “ผมเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมจิตอา สาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วครับ การเรียนที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้ผมได้มีโอกาสได้แบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ ให้แก่คนอื่น ๆ อยู่เสมอ แต่ผมคิดว่าเสียงของผมยังดังไม่พอ ผมจึงตัดสินใจร่วมโครงการนี้ ไม่ว่าผมจะได้ตำแหน่งกุลบุตรกาชาดหรือไม่ก็ตาม ผมเชื่อว่าเสียงของผมก็จะดังขึ้นได้ครับ”

หรือแม้แต่นักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อย่าง บอส-พลพิสิฏฐ์ ฤทธิ์คำรพ เจ้าของตำแหน่ง “รองกุลบุตรกาชาด ประจำปี 2568” ที่ตัดสินใจเข้าร่วม เพราะโครงการนี้จะทำให้เขาสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้เพิ่มมากขึ้นแบบนับไม่ถ้วน “ผมมองว่าการเป็นนัก ศึกษาแพทย์ของผมในเวลานี้ ทำให้ได้มีส่วนช่วยเหลือคนอยู่บ้าง แต่อาจจะได้แค่ไม่กี่คน แต่ว่าการเป็นกุลบุตรหรือกุลธิดากาชาด อาจเข้าถึงและช่วยเหลือผู้คนได้หลายพัน หลายหมื่น หลายแสนคน คือเข้าถึงคนได้เยอะมาก และสามารถช่วยเหลือคนได้เยอะจริง ๆ ครับ”

ค่ายกุลบุตร - กุลธิดากาชาด ช่วงเวลาแห่งรอยยิ้มและมิตรภาพ จากผู้สมัครนับร้อยคน คัดสรรจนได้ผู้ที่ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด 69 คน พวกเขาจะต้องเข้าสู่ “ค่ายกุลบุตร-กุลธิดากาชาด” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 - 8 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งการจัดค่ายครั้งนี้ เป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้า ใจในอุดมการณ์กาชาดและพัฒนาองค์ความรู้ ด้านภาวะผู้นำ การสื่อสาร และการทำงานอาสาสมัครเชิงบูรณาการ ให้สามารถคิด ออกแบบ และทำกิจกรรมจิตอาสาได้ด้วยตนเอง นำโดย สุนันทา ศรอนุสิน ผู้อำนวยการสำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด สภากาชาดไทย และประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการนี้

“ปีนี้มีความพิเศษ เราได้คัดสรรเด็กเจนใหม่ระดับสุดยอดมาเจอกันที่นี่นะคะ เด็ก Gen ใหม่ เขามีความเป็นตัวของตัวเอง กิจกรรมที่ให้ทำเราจะปรับให้เหมาะกับเขา ให้เขาได้คิด ได้วางแผนกันเอง เป็นการเรียนรู้กระบวนการทำงาน ขณะเดียวกันในค่ายเราก็จะสอดแทรกเรื่องความมีมนุษยธรรม คุณธรรม จริยธรรมเข้าไป ฉะนั้นเรามั่นใจว่าเยาวชนที่เป็นตัวแทนสภากาชาดไทยนั้น นอกจากจะเป็นผู้เผยแพร่ภารกิจของสภากา ชาดไทยไปยังสาธารณชนในรูปแบบต่าง ๆ เขาจะต้องเป็นแบบ อย่างของความเสียสละ ของการช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน“

บรรยากาศภายในค่ายเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่ที่เปี่ยมล้นไม่แพ้กันคือการได้เห็นพลังของคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาด้วยหัวใจจิตอาสา และได้จุดประกายความคิดในการสานต่อเจตนารมณ์ของสภากาชาดไทยไปพร้อมกัน ซึ่งบรรยากาศแห่งความสุขเหล่านี้ได้รับการยืนยันจาก พอเพียง-กษม สินธุภิญโญ กุลธิดากาชาด ประจำปี 2568  “คิดไม่ถึงเลยว่าค่ายจะสนุกขนาดนี้ ที่สำคัญ คือ เราได้มิตรภาพที่ดีมากๆ จากเพื่อน ๆ พวกเราสนิทกันเร็วมาก ๆ เลยค่ะ เหมือนเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งที่ชื่อว่าสภากาชาดไทยและยิ่งได้เห็นภาพของรุ่นพี่กุลบุตร-กุลธิดาปีก่อนๆ ที่ลงไปทำงานแนวหน้าจริง ๆ ทำให้ได้ตระหนักรู้ในเรื่องของการเป็นจิตอาสามากขึ้น”

และเน้นย้ำถึงความทรงจำดี ๆ โดย ฝ้าย-รุจรวี จีระเดชากุล รองกุลธิดากาชาด ประจำปี 2568 ที่ได้รับสิ่งต่างๆ กลับไปมากมายจากการเข้าค่ายกุลบุตร-กุลธิดากาชาดครั้งนี้ “หนูไม่เคยคิดว่าจะมาแข่งขัน แค่ตั้งใจมาเก็บเกี่ยวทุกอย่างให้เต็มที่ พอยิ่งได้เห็นเพื่อน ๆ ทุกคนให้ความร่วมมือกันมาก ทำให้หนูรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ในค่ายนี้ และเป็นการจุดประกายที่ทำให้รู้สึกว่า เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ และทำให้ร่วมทุกกิจกรรมได้อย่างเต็มที่เช่นกันค่ะ”

สุนันทายังกล่าวปิดท้ายอีกว่า “ทุกคนที่เข้ามาในค่าย เราถือว่าเป็นกุลบุตร-กุลธิดาทั้งสิ้น เพราะพวกเขาทุกคน คือ เมล็ดพันธุ์จิตอาสาที่จะหยั่งรากแก้วอย่างมั่นคง และรากฝอยก็แตกออกไป สายสะพายและโล่รางวัลแห่งเกียรติยศคงไม่สำคัญไปกว่าการที่จะได้เห็นเราทุกคนได้เริ่มต้นทำเพื่อผู้อื่น แม้จะเพียงแค่สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จงภูมิใจที่เราได้ทำหน้าที่ในฐานะคณะกุลบุตร-กุลธิดากาชาด”

ต้องมาติดตามกันต่อว่าเมล็ดพันธุ์ที่สภากาชาดไทยบรรจงปลูกลงดินเหล่านี้ จะฝังรากลึกและเติบโตอย่างงดงามเพียงใด แต่เชื่อได้ว่านอกจากพวกเขาจะส่งเสริมความยั่งยืนให้งานอาสาสมัครของสภากาชาดไทยแล้ว การเป็น “กุลบุตร-กุลธิดากาชาด” ยังจะนำไปสู่ประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน และปลูกฝังคุณค่าของ “จิตอาสา” ให้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังแน่นในสังคมไทยอย่างยั่งยืนแน่นอน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top